ขอบคุณสำหรับเรือ

ขอบคุณสำหรับเรือ

ลุยช่วยคนที่น้ำท่วม

ลุยช่วยคนที่น้ำท่วม
ระวังเรือล่มนะ

ช่วยเหลือพี่น้องที่น้ำท่วม

ช่วยเหลือพี่น้องที่น้ำท่วม
เราคนไทยไม่ทิ้งกัน

อย่าลืมอธิษฐานเผื่อพี่น้องอาข่านะครับ

อย่าลืมอธิษฐานเผื่อพี่น้องอาข่านะครับ
เราต้องการคำอธิษฐานเผื่อ

ภาพนี้ให้บทเรียนอะไรบ้าง

ภาพนี้ให้บทเรียนอะไรบ้าง
จะปลอบใจ หนุนใจ กันเถิด

หัวเหดหยัง

หัวเหดหยัง
อย่าเว้าเรื่องแฟนอายเผิน

การเลือกคู่ครองที่ถูกต้อง

การเลือกคู่ครองที่ถูกต้อง
อย่าเทียมแอกกับคนไม่เชื่อ

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เชิญเรียนพระคัมภีร์ทางเวบ กับ อ.สมชิต ฟรี

- คำนำ วิชาเบื้องหลังพระคัมภีร์
หนังสื่อที่ขายดีที่สุดในโลกคือพระคัมภีร์ หนังสื่อที่แปลมากที่สุดในโลกคือพระคัมภีร์ หนังสื่อที่เปลี่ยนแปลงชีวิตมากที่สุดคือพระคัมภีร์ หนังสือไม่มีใครทำลายได้คือพระคัมภีร์และหนังสือที่มีอำนาจมากที่สุดคือพระคัมภีร์ฮีบรู 4.12 เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย อาวุธที่ดีที่สุดของโลกคือพระคัมภีร์ ถ้าไม่มีพระคัมภีร์เราไม่รู้เลยว่าอะไรคือความจริงและพระคัมภีร์เป็นอุปกรณ์ที่พระเจ้าทรงใช้ให้เป็นสื่อเพื่อการติดต่อสื่อสารอธิบายให้มนุษย์ทุกคนได้รู้ความจริง ฮีบรู 1.1-3ในโบราณกาลพระเจ้าได้ตรัสด้วยวิธีต่างๆมากมายแก่บรรพบุรุษของเราทางพวกผู้เผยพระวจนะ 2แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลายทางพระบุตร ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก พระองค์ได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลโดยพระบุตร 3พระบุตรทรงเป็นแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์ และทรงผดุงโลกไว้ด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ เมื่อพระองค์ได้ทรงชำระบาปแล้ว ก็ได้ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าเบื้องบน
เมื่อเราได้รู้เบื้องหลังพระคัมภีร์เราก็จะรู้ว่าพระคัมภีร์ไม่ใช่หนังสือธรรมดาแต่เป็นหนังสือที่มหัศจรรย์
- บทที่ 1 ประวัติความเป็นมาของพระคัมภีร์
- เมื่อก่อนนั้นพระคัมภีร์เป็นเรื่องที่พ่อแม่ได้เล่าและสอนลูกหลานสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยอาดัมจนถึงโนอาห์และได้เป้นเรื่องที่ชัดเจนขึ้นในสมัยของอับราฮัมจนถึงสมัยโยเซฟและต่อมาถึงสมัยของโมเสสที่พระเจ้าได้ใช้ให้เป็นผู้ที่เขียนเป็นเรื่องราวเพราะเป็นแผนการของพระเจ้าที่จะให้เป็นภาพและติดต่อสื่สารกับชนชาติของพระองค์และเพื่อมวลทุกคนทั่วโลกจนถึงปัจจุบันนี้และพระเจ้ายังทรงใช้พระคัมภีร์เพื่อสำแดงความเข้าใจเรื่องพระเจ้า
- เมื่อเดิมนั้นพระคัมภีร์เรียกว่าพระบัญญัติและกฏหมายของพระเจ้าที่ให้กับโมเสสเพื่ออิสราเอลพระคัมภีร์ในสมัยก่อนนั้นทำจากหญ้าชนิดหนึ่งในประเทศอียิปต์ที่คล้ายๆกับต้นกกในประเทศไทยเขาเรียกว่า ปาปิรัส เขานำมาทำเป็นกระดาษเพื่อเขียนพระคัมภีร์ในสมัยนั้นเพราะง่ายและสะดวกแต่พระบัญญัติสมัยโมเสสนั้นเป็นศิลา หรือหินที่สกัด และต่อมาเป็นกระดาษและต่อมาใช้แผ่นหนัง และต่อมาก็ใช้ดินเหนียวแล้วแต่ว่าเหมาะสมในการใช้ และต่อมาเราเรียกว่าหนัวสือม้วนที่เรานำมาใช้เป็นพระคัมภีร์ในปัจจุบันนี้
- เมื่อเดิมนั้นมีพระคัมภีร์เดิมที่ชาวยิวได้เก็บรักษาและสั่งสอนอบรมลูกหลานและเก็บไว้ในพระวิหารและโมเสสได้วางแบบอย่างในการดูแลพระคัมภีร์ คือ ต้องมีการคัดลอกทุกๆ 7 ปี และในพระคัมภีร์นั้นมีการแบ่งแบบชาวยิวง่ายๆก่อนและจึงมาแบ่งเป็นระบบในภายหลังและมีทั้งหมด 39 เล่ม ซึ่งแต่ก่อนมี 34 เล่ม เพราะชาวยิวรวม 1-2 ซามูเอลและ 1-2 พงศาวดาร และพงศ์กษัตริย์
- เมื่อถึงสมัยของพระเยซูพระคัมภีร์ต้นฉบับยังอยู่หรือไม่เราไม่ทราบและไม่รู้ว่าฉบับไหนเป็นต้นฉบับเพราะของที่เนบูคัดเนซาขนไปก็ได้นำกลับคืนมายังเยรูซาเล็มและเอสราได้ปฏิรูปและมีการแปลและแบ่งพระคัมภีร์อย่างเป็นระบบจนถึงยุคเงียบ 400 ปี ก่อนพระเยซูเกิดและชาวยิวในสมัยของพระเยซูก็ไม่สงสัยต้นฉบับของพระคัมภีร์เดิมเลยและพระเยซูเองก็ยอมรับและยกย่องพระคัมภีร์ที่เป็นหนังสือม้วนในสมัยนั้น และสมัยนั้นก็มีการคัดลอกเพื่อใช้อ่านตามบ้านตามธรรมศาลาเพื่อใช้นมัสการศึกษาเล่าเรียนและเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ชาวยิวที่อยู่ต่างถิ่นและต่างแดนด้วย
- แต่สมัยของพระเยซูมีการต่อเติมพระคัมภีร์โดยพวกฟารีสีและธรรมจารย์เพื่อประโยชน์ของพวกเขาเองในการใช้อำนาจบีบบังคับประชาชนโดยใช้คำสอนจากบรรพบุรุษและธรรมเนียมต่างและเพิ่มกฏพิธีกรรมอื่นๆด้วย พระเยซูได้ตำหนิกลุ่มคนพวกนี้อย่างมากสาเหตุเพราะไม่มีมาตรฐานหรือบรรทัดฐาน หรือ แคนนอนที่ชี้วัดในสมัยนั้น แต่ แผนการของพระเจ้าและจุดประสงค์ของพระคัมภีร์นั้นยังเหมือนเดิมจนสำเร็จการไถ่บาปทางพระเยซูคริสต์
- ปัจจุบันนี้เราไม่รู้ว่าต้นฉบับของพระคัมภีร์อยู่ที่ไหน และแม้เราจะพบหนังสือมว้นที่ทะเลตายแล้วก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นต้นฉบับหรือไม่ แต่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ต้นฉบับหายไป แต่ถ้าเรามีต้นฉบับในปัจจุบันนี้ก็จะดีมากเพื่อจะทำให้บางข้อนั้นชัดเจนขึ้นและไม่เถียงกัน
- คำถามและข้อคิดในบทเรียน
/// ถ้าเราพบต้นฉบับในปัจจุบันนี้จะเกิดผลดีหรือผลเสีย
- ผลดีเพื่อจะมาเทียบดูว่าข้อไหนที่ยังไม่ชัดเจนจะได้กระจ่าง
- ผลเสีย หลายคนจะเอาไปบูชา และแย่งกันครอบครองและจะนองเลือดแน่ๆ
- บทที่ 2 การดลใจของพระคัมภีร์

- ในการดลใจของพระเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อพระคัมภีร์เพราะเมื่อตัดการดลใจออกไปพระคัมภีร์ก็เหมือนกระดาษปล่าวหรือไม่ต่างจากหนังสืออื่นๆทั่วไป
- ในเรื่องการดลใจจะมีเรื่อง การส่งผ่าน, การดลใจ,การที่พระเจ้าติดต่อกับมนุษย์ ( 2 ทธ.3.16 2ปต.1.20-21 ฮบ.1.1-3 โยบ 33.14-16 )
- พระเจ้าทรงตรัสกับมนุษย์หลายๆวิธีและทุกๆครั้งพระเจ้าเองเป็นผู้สำแดงเรียกเปิดเผยให้กับมนุษย์ส่วนมนุษย์เป็นเพียงผู้รับสารพระเจ้าเป็นผู้ส่งสารและเปิดเผยให้ทราบมนุษย์เป็นผู้บันทึกและถ่ายทอดข่าวสารของพระเจ้าและมนุษย์นั้นได้บันทึกตามจุดประสงค์ของพระเจ้าซึ่งเมื่อก่อนพระเจ้าทรงใช้พวกผู้เผยพระวจนะ ในการนำข่าวสารของพระเจ้าไปบอก
- ความหมายเรื่องการดลใจ
การดลใจแตกต่างจากแรงบันดาลใจ ต่างจากจินตนาการ ต่างจากการเชื่อเรื่องร่างทรง เพราะ การดลใจนั้นเป็นการสำแดงพิเศษจากพระเจ้าเพื่อเปิดเผยพระประสงค์ของพระเจ้าตามแผนการต่างๆและการดลใจพระเจ้าเป็นฝ่ายเดียวที่ทรงเปิดเผยถ้าไม่ทรงตรัสพวกผู้เผยพระวจนะจะ
บอกอะไรไม่ได้ ( 1ซมอ. 3.1,7,19-21 ) และการดลใจพระเจ้าทรงให้ผู้เขียนได้ใช้สไตล์หรือลีลาของตนเองตามบุคลิกลักษณะของคนนั้นๆเพื่อให้เป็นตามธรรมชาติและทำให้ผู้เชื่อปัจจุบันนี้ได้แกะรอยว่าใครเป็นผู้เขียนแม้ไม่ได้ปรากฏชื่อในจดหมายต่างๆในพระคัมภีร์ใหม่
การดลใจสามารถยอมรับได้โดยไม่มีความผิดพลาดเลยในส่วนของพระเจ้าแต่ส่วนของมนุษย์ย่อมมีความผิดพลาดบ้างในเรื่องวัสดุความแม่นยำ เช่น จำนวน ( 1ซมอ.10.15-19 1พศด.19.1-19 )
แต่ไม่มีผลอะไรเรื่องจำนวน และชาวยิวก็ยอมรับได้ และไม่ใช่เป็นเรื่องทางการ เช่น หนังสือพิมพ์รายงานข่าวเรื่องเดียวกันแต่บอกจำนวนไม่เท่ากัน น้อยไป มากไป อื่นๆ
การดลใจเรายอมรับได้โดยผู้เขียนสามารถรู้ในสิ่งที่คนมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถรู้ได้เลย เช่นโยบได้บอกว่า โลกแขวนไว้ในที่ว่างเปล่าหรือในหว้งอาวกาศ 26.7 และเรื่องโลกกลม อสย.40.22 เรื่องราวในอนาคต และเรื่อง อื่นๆ
การดลใจเป็นงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ( นหม.9.20 ยน.14.26 ลก.24.27,44-45 )
ผู้เชื่อได้ยอมรับอย่างสิ้นสุดใจว่าพระวิญญาณทรงดลใจ ( 2ทธ.3.16 2ปต.1.20-21 ) พระเจ้าทรงดลใจทุกข้อและทุกคำที่ใช้ในพระคัมภีร์

*** ข้อคิดและคำถามท้ายบทเรียน
- การดลใจแตกต่างจากแรงบันดาลใจอย่างไร
- อะไรที่พิสูจน์ว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจ
- ทำไมพระเจ้าต้องใช้วิธีดลใจพระคัมภีร์
- การดลใจแตกต่างจากนิมิตหรือความฝันหรือไม่และแตกต่างอย่างไร
- พระคัมภีร์ที่เรามีปัจจุบันนี้ได้รับการดลใจหรือไม่

- บทที่ 3 มาตรฐานและบรรทัดฐานหรือ แคนนอนของพระคัมภีร์
- อะไรเป็นมาตรฐานของพระคัมภีร์ 66 เล่ม

3.1 ปัญหาเรื่องการยอมรับแคนนอนหรือมาตรฐานของพระคัมภีร์เดิม
- พระคัมภีร์เดิมไม่มีปัญหาเรื่องการยอมรับแคนนอนเพราะชาวยิวยอมรับและยกย่อง
- แต่พระคัมภีร์บางเล่มมีคนสมัยปัจจุบันโต้งแย้งแต่ภายหลังก็ยอมรับได้
คือ พระธรรมเอสเธอ์เพราะไม่ปรากฏคำว่าพระเจ้าเลยแม้แต่คำเดียวแต่ยอมรับได้
เพราะเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าทรงอยู่เบื้องหลังในทุกๆเหตุการณ์
คือ พระธรรมเพลงซาโลมอนเพราะบางคนคิดว่าเป็นเรื่องลามกเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์
แต่ยอมรับได้เพราะเรื่องเพศเป็นเรื่องความบริสุทธิ์ไม่ใช่เป็นความบาป
และเป็นการแสดงความรักต่อเพศตรงข้ามในทางของความบริสุทธิ์สามีภรรยา
- แต่การโต้แย้งแทบไม่มีเลยเพราะพระเยซูเองทรงยอมรับไม่มีสงสัยหรือผิดพลาดเลย
- และพวกอัครทูตถึงท่านยอห์นเป็นสาวกคนสุดท้ายและบิดาแห่งคริสตจักรได้ยอมรับ

3.2 อะไรคือมาตรฐานของแคนนอนที่เราสามารถยอมรับได้
1. ผู้ที่กำหนดแคนนอน หรือ ตั้งแคนนอนขึ้นมา ( ใครเป็นผู้กำหนดแคนนอน )
ก. พระเจ้าเองทรงเป็นผู้ตั้งและกำหนดแคนนอนเพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ดลใจ
ข. ความเป็นจริงที่เขียนไว้และคำพยากรณ์เป็นผู้กำหนดแคนนอน
ค. บิดาแห่งคริสตจักรที่ตรวจสอบยอมรับและเก็บสะสมรักษาไว้อย่างดี
ง. อำนาจของพระคัมภีร์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตจิตใจของมนุษย์ได้จริง
2. การยอมรับแคนนอนทุกส่วนทุกคำทุกเรื่องในพระคัมภีร์ ( จะยอมรับได้ทั้งหมดหรือไม่)
ก. เพราะบางคำพูดไม่ใช่เป็นคำพูดของพระเจ้า
เช่น คำพูดของมารซาตาน เราถึงว่าเป็นพระคัมภีร์เพราะเป็นส่วนของพระคัมภีร์
เพื่อให้พระตัมภีร์สมบูรณ์และชัดเจน เพราะต้องการเปิดเผยทุกแง่มุมชีวิต
เช่น หนังก็มาบทพระเอกนางเอกตัวโกงเพื่อเนื้อเรื่องจะสมบูรณ์และมีเหตุผล
( 2ปต.1.20-21 )
ข. เพราะบางเล่มเป็นละครสดุดีร้อยแก้วร้อยกรองและกลอนสุภาษิตและเพลง
แต่เป็นวรรณกรรมที่พระเจ้าทรงดลใจเป็นพระคัมภีร์ ลก.24.27,44 2ทธ3.16
ค. เพราะบางครั้งเป็นเรื่องการอัศจรรย์เหนือธรรมชาติ
แต่เราไม่สามารถตัดออกได้เพราะเป็นเหตุการณ์จริงที่พระเจ้าสำแดงผ่านเพื่อเป็น
เหมือนลายเซ็นที่พระเจ้ารับรองการสำแดงของพระองค์แม้สมัยของพระเยซูเอง
และพวกสากก็ตามเป็นสัญลักษณ์ว่าพระเจ้าทรงอยู่เบื้องหลัง กจ.14.3 มก.16.20
ง. เพราะบางคนแย้งว่าเป็นเหมือนนิทานที่เชื่อถือไม่ได้
แต่พระคัมภีร์ไม่ใช่นิทานเหมือนชาวโลกเข้าใจแต่เป็นเรื่องประวัติศาสตร์จริง
ที่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้และจิตสำนึกของมนุษย์ก็แยกแยะออกว่าอะไรคือนิทาน
และพระคัมภีร์เป็นการสำแดงจากพระเจ้าฝ่ายเดียวมนุษย์ไม่สามารถแต่งขึ้นเองได้
3. เพราะแคนนอนนั้นมีศิลธรรมที่สูงมากเพราะเป็นมาตรฐานของพระเจ้าและมีอำนาจสูงสุด
- ฮบ.4.12 พระคัมภีร์มีฤทธิ์อำนาจที่มนุษย์ไม่อาจโต้แย้งได้หรือต่อสู้ได้
- เราต้องยอมรับว่าคนไม่เชื่อย่อมต่อต้านแม้เป็นเรื่องจริงก็ตาม
- เรารู้ว่าพระคัมภีร์มีศิลธรรมที่สูงมากเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะคิดขึ้นมาได้
- เราสามารถยอมรับได้ร้อยเปอร์เซ็นเพราะพระเยซูยอมรับว่าพระคัมภีร์ไม่ผิดพลาด
- เราเห็นว่าหลักคำสอนของคริสเตียนได้รับรากฐานที่มาจากพระคัมภีร์เดิมเป็นหลัก
( โรม 1.1-3 16.26 กจ.17.1-3,11 1คร.15.1-8 )
3.3 การพัฒนาและปรับปรุงแคนนอนหรือมาตรฐานของพระคัมภีร์เดิม
- ทำไมเราต้องพัฒนา เพราะว่าแต่ละยุคสมัยภาษาของมนุษย์จะปรับตามยุคที่ควร
และต้องมีการขัดกลาภาษา เช่น สมัยของ เอสรา (นหม.8.1-8 ) และสมัยของเรา
ในปัจจุบันก็มีการปรับปรุงด้านภาษาและการแปลอยู่เสมอ
- ทำไมเราต้องพัฒนาและปรับปรุงเพราะวัสดุสมัยก่อนไม่ทนทานและแข็งแรงพอ
และไม่สะดวกในการจัดเก็บและพกพาจึงต้องปรับปรุงเสมอและแม้ในสมัย
ปัจจุบันก็เปลี่ยนจากในลานมาเป็นกระดาษและจากกระดาษเป็นแผ่นดิสอื่นๆ
และยังมีการอัดเทปเป็นพระคัมภีร์แบบเสียง แบบภาพประกอบ อักษรแล อื่นๆ
และยังทำเป็นภาษาใบ้เพื่อคนหูหนวกด้วย
- การพัฒนา 3 อย่างของแคนนอน
1. การดลใจโดยพระเจ้า ( 2ปต.1.20-21 2ทธ.3.15-16 )
- เพื่อผู้เชื่อจะมีจิตสำนึกในการยอมรับและไม่ละเมิดโดยตัดหรือเพิ่มเติม
- เพื่อมารจะไม่ใช้เป็นข้ออ้างให้ผู้เชื่อสงสัยและต่อต้านความจริง
2. การยอมรับพระคัมภีร์ว่ามีอำนาจชี้ความถูกต้องสูงสุด
- เพื่อช่วยให้เรามีจุดยืนและรู้ว่าอะไรที่ถูกต้องโดยให้พระคัมภีร์ตัดสิน
- เพื่อช่วยให้ผู้เชื่อไม่ตีความเข้าข้างกลุ่มความเชื่อของตนเอง
- เพื่อช่วยให้ผู้เชื่อไม่ตกเป็นทาสของผู้นำที่บิดเบือนพระคัมภีร์
3. การสะสมการดูแลรักษาพระคัมภีร์
- เพราะมารยังพยายามทำลายพระคัมภีร์
- เพราะพระคัมภีร์ต้องการแปลให้ครบทุกภาษา
- เพราะต้องการอนุรักษ์และปกป้องไว้ให้ชนรุ่นหลังต่อไป
เช่น สมัยก่อนพระเยซูมีการจัดเก็บซ่อนจากพวกโรม คือ ม้วนทะเลตาย
เช่น จดหมายฝากธรรมดาต่อมาเป็นพระคัมภีร์ ( 2ทธ.4.6-15 )
- การแยกข้อเขียนที่ไม่ใช่พระคัมภีร์ หรือ ไม่ผ่านแคนนอนในพระคัมภีร์เดิม
1. ผู้ดูแลเก็บสะสมและรักษาไว้
- คือ คนของพระเจ้า,ผู้รับใช้,ผู้เผยพระวจนะ
( ฉธบ.31.26 1ซมอ.10.25 2พกษ.23.24 อสร.7.26 สภษ.25.1 )
2. ผู้ที่แยกว่าหนังสือใดคือพระคำของพระเจ้า
- คือ ประมุขและพวกปุโรหิต อารักษ์ และผู้เผยพระวจนะ
เพราะมีหนังสือที่ไม่ผ่านแคนนอนมีมากมายด้วย
( ยชว. 10.13 หนังสือยาชาหรือหนังสือสงคราม หรือการรบ )
( กดว.21.14 หนังสือ สงคราม )
( 2พศด. 9.29 นาธันและผู้เผยอื่นๆที่ไม่นับรวมเข้าในพระคัมภีร์)
( ยด. 9 ,14 –16 2 ปต. 2.1-17 )
- แต่พวกคาทอลิกได้เอาหนังสือที่ไม่ผ่านแคนนอนมาเพิ่มเป็น
พระคัมภีร์เลยมีความเชื่อออกนอกหลักคำสอนที่ถูกต้อง
สรุป.... แคนนอน แท้จริงพระเจ้าเองทรงอยู่เบื้องหลังทั้งการดลใจและแยกว่าเล่มไหนผ่านและไม่ผ่าน
.... แม้มนุษย์จะเป็นคนเขียนและคัดลอกแต่ความหมายมาจากพระเจ้าและยังเหมือนเดิม
.... แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนพระเจ้าทรงรักษาไว้และทุกคำต้องสำเร็จ มธ.5.17-19

3.4 ข้อสังเกตเรื่องแคนนอนจากพระคัมภีร์เดิม
1. มีความแตกต่างระหว่างพระคัมภีร์ที่ผ่านแคนนอนและไม่ผ่าน
- แม้สมัยนั้นจะมีหนังสืออื่นๆมากมาย แต่สำหรับชาวยิวจะแยกแยะออกได้เพราะทุกครอบครัวเรียน
และท่องจำพระคัมภีร์เท่านั้น หนังสือเล่มอื่นๆจะไม่ท่องจำเลย
2. มีการยอมรับทันทีโดยไม่สงสัยสำหรับพระคัมภีร์เดิมและหวงแหนมาก
- เช่น กฏหมายโมเสส หรือ หนังสือของโมเสสและมีการแบ่งหมวดหมู่พระคัมภีร์
หมวดพระบัญญัติ,ผู้เผย,สดุดี,กวีนิพนธ์, มธ.24.15 7.12 ยน.1.16-17 ลก.4.21-27 24.27,44
และแม้ปุโรหิตก็เป็นผู้เผยพระวจนะด้วย อศค.2.25 ดนล.1.3-7
3. มีสิ่งที่ซ่อน ( Apokkrippar )
- หนังสือในสมัยพระคัมภีร์เดิมได้มีการแบ่ง
1. Homologomena 34 เล่มยิวยอมรับทันทีและภายหลังแบ่งเป็น 39 เล่ม
2. Aptilegomena การประท้วงต่อต้านไม่ยอมรับทันที
1. เพลงซาโลมอน ..... หาว่าเป็นเรื่องเพศที่ลามก ไม่เหมาะสมเป็นพระคัมภีร์
2. ปัญญาจารย์ ...... 12.23 ซาโลมอนค้นหาความหมายของชีวิตและสัจจะธรรม
3. เอสเธอร์...... เพราะไม่มีคำว่าพระเจ้าเลยแม้แต่คำเดียว
- สาเหตุที่ไม่มี 1. ยิวเป็นทาส 2.ไม่ให้สับสนเรื่องพระเจ้าและรูปเคารพ
3. เพราะผู้เขียนได้เขียนแบบประวัติศาสตร์แต่พระเจ้าอยู่เบื้องหลัง
4. เอเศเคียล ..... เพราะเขาหาว่าไม่เข้ากันกับหนังสือของโมเสส... ปัญหาอยู่ที่ผู้อ่านเอง
5. สุภาษิต...... 26.4-5 บางคนบอกว่าขัดแย้งกันเอง

3.5 แคนนอนในพระคัมภีร์ใหม่
1. วิธีการเลือกสรรพระคัมภีร์ใหม่และสาเหตุการเขียน
- เราต้องมีการคัดเลือกเพราะมีมากจนไม่มีที่จะเขียนได้ ยน.20.30 21.25
- พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกทุกสิ่งให้เรารู้แต่เขียนในสิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้
- เพราะมีลูกาเขียนเพื่ออธิบายสนับสนุนเพิ่มเติมจากคนอื่นที่เขียนแล้ว ลก.1.1-4
- เพราะมีคนที่ขาดความเข้าใจและสับสน 1ธส.5.27 วว.1.3
2. วิธีการสะสมและเก็บรักษา
- จากจดหมายแต่ยอมรับเป็นพระคัมภีร์ที่มีอำนาจ วว.1.11 1คร.14.37
- การส่งผ่าน หรือ ส่งจดหมาย คส.4.16 2ทธ.4.13-
3. วิธีการรวบรวมเป็นพระคัมภีร์และตรวจเล่มที่ผ่านแคนนอน
- พระคัมภีร์ที่ยังไม่ได้ยอมรับทันที
1. ฮีบรู .... เพราะไม่ระบุชื่อผู้เขียน .... แต่ยอมรับว่าพระเจ้าเป็นผู้ให้เขียนแน่นอน
2. ยากอบ ..... เพราะขัดแย้ง รอดโดยการกระทำ ..... แต่ความเชื่อต้องมีผลของการกระทำ
3. 2-3 ยอห์น .... เพราะแตกต่างจาก 1 ยอห์น ..... เพราะเป็นจดหมายส่วนตัวและต่างเพศ
4. 2เปโตร ..... เพราะลีลาการเขียนต่างกัน.....เพราะเล่มแรกสิลวานัสอาจช่วยเขียน 5.13
5. ยูดา ..... เพราะเขียนแนวพระคัมภีร์เดิม...... เพราะเอามาจากหนังสือที่ซ่อนของเอโนค
6. วิวรณ์ ..... เป็นเรื่องโหดร้ายและเข้าใจยาก ..... เพราสะเรื่องอนาคตและผู้เขียนอยู่ในอดีต
- พระคัมภีร์ 27 เล่มได้ผ่านแคนนอน
- เพราะสาวกได้รับการดลใจในการเขียนและถือว่าเป็นพระคัมภีร์ 1คร.14.37
- เพราะเปโตรและสาวกก็ยอมรับจดหมายมีอำนาจเท่าเทียมพระคัมภีร์เดิม 2ปต.16
- เพราะบิดาแห่งคริสตจักรได้ยอมรับและไม่สงสัยและรวมเข้ากับพระคัมภีร์เดิม
- เพราะสอดคล้องและไม่คัดแย้งกับพระคัมภีร์เดิมเลย
- เพราะพระเยซูทรงดลใจและรับรองทั้งกิจการงานและการเขียนด้วย วว.1.10


*** พระพรและคำถามท้ายบทเรียน
- ถ้าไม่มีแคนนอนพระคัมภีร์ของเราจะเป็นอย่างไร
- มั่ว,สับสน,มีมากกว่า 39,หรือ66 เล่ม , มีการเขียนเพิ่มต่อเติม,การทะเลาะกัน, อื่นๆ
- ถ้าเราไม่ยอมรับแคนนอนของพระคัมภีร์จะมีผลอย่างไร
- อื่นๆ
- บทที่ 4 ภาษาที่ใช้ในพระคัมภีร์
*** ทำไมพระเจ้าต้องใช้ภาษาของมนุษย์ เพื่อมนุษย์จะได้เข้าใจและไม่ลืมและความหมายไม่
คลาดเคลื่อนและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาจดจำบัทึกและจัดเก็บรักษา
- ภาษาช่วยพัฒนาชีวิตของมนุษย์ เช่น สมัยสุโขทัยที่ไทยเริ่มมีภาษาใช้และเจริญก้าวหน้า
- เพื่อ ช่วยในการประกาศสื่อสารและทุกๆชนชาติสามารถเข้าใจได้
*** ทำไมพระเจ้าต้องเลือกใช้ภาษาในการเขียนพระคัมภีร์
- เพราะภาษาที่พระคัมภีร์ใช้ตามยุคสมัยและแต่ละภาษาก็มีสิ่งที่พิเศษแตกต่างกัน
เช่น ภาษาฮีบรูเป็นภาษาที่จดจำง่ายและเมื่อพูดสามารถมองเห็นภาพชัดเจน อื่นๆ
*** พระคัมภีร์ใช้ภาษาอะไรบ้าง ( ทุกตอน,ทุกคำที่พระเจ้าใช้ 2ปต.1.20-21 2ทธ.3.16-17 )
1. ภาษา ฮีบรู 2. ภาษา อาลามิก 3. ภาษากรีก 4. ภาษา ลาติน 5. อังกฤษ อื่นๆ

1.1 ภาษาฮีบรูมีลักษณะ คือ สามารถมองเห็นภาพเมื่อได้ฟังและจำได้ง่าย ดีมากที่ใช้สื่อสาร
ทางจิตใจได้ลึกซึ้งเพราะความหมายและคำศัพท์ที่ใช้และจัดว่าเป็นภาษาที่งดงามเมื่อใช้
เป็นบทกลอนกวีหรือเพลง และด้านความหมายแน่นอนและชัดเจน
และภาษาอารัม อาจเป็นอาหรับ และต่อมาภาษาฮีบรูเป็นอาลาบิค
1.2 ภาษาอาลามิกที่เริ่มใช้เป็นทางการสมัยหลังจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน
เป็นภาษากลางที่ใช้กับเชลยและคนทั่วไป และมีภาษาของแต่ละประเทศด้วย
เช่น สมัยดาเนียล 1.4 3.7 5.24-28 2พกษ.18.26
1.3 ภาษากรีก คือ คำพูดที่ชวนให้คิดและเมื่อพูดต้องมีตัวอย่างอธิบาย และในพระคัมภีร์ใหม่
เขียนเป็นภาษากรีกเพราะกรีกมีอิทธิพลมากในเวลานั้นและตลอดประวัติศาสตร์ของ
คริสตจักรจนถึงกรุงโรมและจากการปฏิวัติของมาร์ตินลูเทอร์เริ่มมีการแปลเป็นภาษา
เยอรมันและต่อมาเป็นภาษาอังกฤษและจนกลายเป็นจุดที่แปลไปเกือบทุกภาษาแต่เมื่อ
แปลเป็นภาษาอื่นๆจะต้องเอาภาษาฮีบรูและกรีกมาช่วยตรวจสอบควบคู่กันไปด้วย
** ภาษากรีกสมัยนั้นถือว่าเป็นภาษาของคนฉลาดและต้องใช้ในการทำเอกสารติดต่อ
สื่อสารการงานและการนับการคำนวนการใช้สกุลเงินอื่นๆ และเป็นภาษาของพวก
นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์
1.4 ภาษาลาติน อาจเป็นภาษาที่แยกออกจากกรีกแต่มีส่วนคล้ายใกล้เคียงกัน
และยังมีการใช้ภาษาโรมันและลาตินด้วยแม้ในอดีตและปัจจุบันนี้ด้วย เช่น คำของ
วิทยาศาสตร์และตัวเลขนาฬิกา และภาษาที่ใช้ในคนิตศาสตร์ อื่นๆ
1.5 ภาษาอังกฤษที่เป็นภาษาสากลของทั่วโลกที่พระเจ้าทรงใช้ในปัจจุบันนี้
เช่นการแปลเป็นภาษาอื่นๆ และการที่ประเทศนั้นไม่มีภาษาเขียนหรือเผ่าอื่นๆก็ใช้
ภาษาอังกฤษเป็นตัวเขียนแทน เช่น อาข่า,ม้ง,ฟิลิปปินส์,ลาฮู่,อื่นๆ

สรุป.......... พระเจ้าทรงใช้ภาษาเพื่อให้มนุษย์เข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าและความรอด
......... ภาษาและคำที่ใช้มาจากพระเจ้าแม้มนุษย์เป็นคนเขียนโดยพระวิญญาณ 2ปต.1.20-21
........ ภาษาสมัยของพระคัมภีร์เน้นที่ความหมายสื่อความเข้าใจ กจ.2.1-13 1คร.14.10
....... พระพร, คำถามท้ายบทเรียน , การประยุกต์ใช้,
คำถามท้ายบทเรียน
1. พระคัมภีร์มีอิทธิพลต่อชีวิตคุณอย่างไร
2. ครั้งแรกที่คุณเห็นพระคัมภีร์คุณคิดและเข้าใจอย่างไร
3.เมื่อคุณได้อ่านและได้ยินพระคัมภีร์ครั้งแรกคุณรู้สึกอย่างไร
4. ตอนนี้ต้นฉบับอยู่ที่ไหน
5. ทำไมต้นฉบับหายไป
6. ถ้าเราพบต้นฉบับเราจะรู้ได้อย่างไร
7. เมื่อพบต้นฉบับจะมีผลดีหรือผลเสีย
8. พระคัมภีร์มีความผิดพลาดหรือไม่
9. ถ้าเราไม่มีพระคัมภีร์จะเกิดอะไรขึ้น
10. ตอนนี้มารพยายามทำลายพระคัมภีร์อย่างไร
11. เรามีส่วนที่จะดูแลรักษาพระคัมภีร์อย่างไร
- เป็นผู้อารักขาที่ดี 1คร.4.1-4
- มอบคำสอนกับคนที่สัตย์ซื่อ 2ทธ2.2
- อย่าตัดอย่าเพิ่มเติมพระคัมภีร์ วว.22.18-19 - เราต้องอ่าน,จดจำ,ศึกษาเพราอาจถูกทำลายจากมาร,

มุมนี้มีคำถามชุดที่ 2 Bibleble Questions

5. นี่คือข้อพระคัมภีร์ใด ( ในพระคัมภีร์เดิม)

ข้าพระองค์ได้สะสมพระดำรัสของ พระองค์ไว้ในใจของข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์
6. นี่คือพระคัมภีร์ข้อใด

หนุ่มๆจะรักษาทางของตนให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร โดยระแวดระวังตามพระวจนะของพระองค์
7. นี่คือใคร
มีอาชีพเก็บภาษี ,เป็นสาวกของพระเยซู , เป็นคนเขียนพระคัมภีร์ 1 เล่ม , เป็นคนยิว
8. แม่ของโมเสสชื่อว่าอะไร
9. พ่อของโยชูวาชื่ออะไร
10. พ่อของโมเสส ชื่ออะไร
//เชิญตอบมาที่ อ.สมชิต 0860287941 somchitbrid@hotmail.com somchitlove@gmail.com ประกาศผลที่ค่ายพัทยา

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เคล็ดลับที่ไม่ลับของเปาโล อ.สมชิต

เคล็ดลับที่ไม่ลับของเปาโล 3 ป

ป ... ปรารถนา ( ฟป 1:19-21)
- ความปรารถนา คือ แรงจงูใจ แรงพลังดัน แรกขับเคลื่อน ของชีวิตเปาโล
เช่น ดาเนียล และโยเซฟ และโยชูวา เพราะมีความปรารถนาอันแรงกล้าต่อพระเจ้า ( ดนล 1:8)
แต่ดาเนียลตั้งใจไว้ว่าจะ ไม่กระทำตัวให้เป็นมลทินด้วยอาหารสูงของพระราชา หรือด้วยเหล้าองุ่นซึ่งพระองค์ดื่ม เพราะฉะนั้นเขาจึงขอหัวหน้าขันทีให้ยอมเขาที่ไม่กระทำ ตัวให้เป็นมลทิน
- เปาโลปรารถนา อยู่เพื่อพระคริสต์ อยู่เพื่องาน อยู่เพื่อคนอื่น
- เปาโลปรารถนา ให้พระเจ้าทรงได้รับเกียรติทุกๆสิ่งในชีวิต กิน ดื่ม ความตาย ( 1คร 10:31)
เหตุฉะนั้นเมื่อท่านจะรับประทานจะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตาม จงกระทำเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
/// ความปรารถนาของเรา คือ อะไร พระเจ้าทรงพอพระทัยหรือไม่
ป.... เป้าหมาย ( ฟป 3:12-15)
- เปาโลมีเป้าหมายท่จะไป ที่จะเดิน ที่จะทำ ที่จะไปให้ถึงเส้นชัยและหลักชัย คือ พระเยซู
- โกล หรือ เป้าหมายของเรา คือ อะไร อย่ารักโลกเหมือน เดมาส
/// อย่าละทิ้งเป้าหมายแต่ไปให้ถึงเป้าหมาย คือ จนวันที่เราไปอยู่กับพระเจ้า ( 2ทธ 4:6-8)
ป.... ปิติยินดี ( 3:1 4:4-6)
- ความปิติยินดีของเปาโลเป็นพลังของเปาโล เป็นสิ่งที่เปาโลได้กำไรชีวิตและมีทัศนคติต่องานและปัญหาต่างๆ
( 4:11-13 ) ท่านเผชิญทุกสิ่งได้ เพราะพระเจ้าและกำลังใจที่ดี ใจร่างเริงเป็นยาอย่างดี ( สภษ 17:22)
/// วันนี้เรามีความปิติยินดี หรือ ขมขื่นใจ ท้อใจ น้อยใจ เสียใจ ทุกข์ใจ จากเลิกและทิ้งมันเสีย
แต่ให้ลองใช้เคล็ดเหมือนเปาโล คือ ปิติยินดีเสมอทุกๆสถานการณ์
/// พระเยซูตรัสว่า เรามอบความชื่นชมยินดีจนเต็มเปี่ยม ( ยน15:11 16:20)
พี่น้องที่รัก เราเป็นคนบาปเหมือนเปาโล และ เรามีพระเจ้าองค์เดียวกันกับเปาโล ลองใช้วิธีของเปาโล 3 ป จงปิติยินดีเสมอทุกวันทุกเวลา

Tabwe report รายงานทับเวย์ฉบับที่ 4

จดหมายข่าวมิชชั่นTABWE
( จดหมายฉบับที่4 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2009)
TABWE มียอดเงินสนับสนุนคริสตจักรส่งมิชชันนารีไปยังประเทศเพื่อบ้าน ในเดือนมกราคม 2009
เป็นเงินทั้งสิ้นที่มีอยู่เดิม 122326.17บ.(เหลือ116326.17ช่วยอ.ไพรัตน์ไปประชุมAPMC ที่มาเลเซีย6000 บาทย้อนหลังเมื่อปลายเดือนตุลาคมเป็นตัวแทนของกลุ่มทับเวย์ )
รายงานงานมิชชั่นของคริสตจักรต่างๆ มกราคม-มีนาคม 2009 คริสตจักรปางศิลาทองได้จัดประชุมมิชชั่นวัน อาทิตย์ที่ 4 ,11,18,25, ม.ค.2009ค.จ ห้วยปูแกงวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ 2009
ค.จ สกลนคร,ค.จ หนองคายจะจัดประชุมมิชชั่นวันอาทิตย์ที่ 22 ก.พ. 2009 ค.จ สันติสุขร่วมกับ ค.จ สว่างแดนดิน จะจัดประชุมมิชชั่นปลายมีนาคม ศุกร์-อาทิตย์ วิทยากรยังไม่แน่ ขอโปรดอธิษฐานเผื่อคริสตจักรต่างๆข้างต้น
แนวทางของ TABWE ในการสนับสนุนคริสตจักรเกี่ยวกับเรื่องมิชชั่น คือ
/ TABWE จะเป็นผู้ช่วยสนับสนุนและประสานงานและจัดข้อมูลต่างๆที่เป็นแนวทางในการ
ดำเนินงานมิชชั่น และส่งมิชชันนารี
/ TABWE จะช่วยให้ข้อแนะนำแนวทางต่างๆเกี่ยวกับการจัดประจำวางแผนงานมิชชั่นในเดือน
แห่งพันธกิจมิชชั่น ตลอดจนการให้คำปรึกษาต่างๆ
/ TABWE ได้จัดแบ่งการประสานงานตามกลุ่มภาคต่างๆมีดังนี้
1. อ. ไพรัตน์ ประสิทธิ์นอก ประสานงานคริสตจักรกรุงเทพและปริมณทล
2. อ. สุนทร คำมา ประสานงานทางคริสตจักรภาคเหนือ
3. อ. พรศักดิ์ สุขะจินตนากาญจน์ ประสานงานทางภาคอีสาน
4. อ. สมชิต แจ้งไพร ประสานงาน ภาคตะวันออก ตะวันตก และภาคใต้
4.คำหนุนใจ ชีวิตที่ยอมต่อพระเจ้า ( ยอมเพราะรัก)
เมื่อจะพูดถึงประวัติมิชชันนารีที่ยิ่งใหญ่ในประเทศจีน เราคงอดที่จะพูดถึงฮัดสันเทเลอร์ไม่ได้เพราะท่านเป็นบุคคลที่เป็น สุดยอดของผู้นำที่ยอมจำนนต่อพระเจ้า ยอมให้พระเจ้าทรงใช้ ยอมให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่งของชีวิต
ยอมละทิ้งคนรักและบ้านเกิดเมืองนอนทิ้งความสดวกสบายและยอมที่จะเป็นเหมือนพวกเขา คือ ปรับตัวเข้ากับพี่น้องคนจีนรับธรรมเนียมและวัฒนธรรมแม้เรื่องอาหาร การแต่งตัว และทรงผม ( เหมือนยอมเป็นคนทุกชนิด 1คร9.) ให้เรามาดูชีวิตของท่านฮัดสันเทเลอร์ เกิดในครอบครัวที่รักพระเจ้ามากแต่ยากจนและสุขภาพก็ไม่ดีและท่านได้เกิดภาระใจที่จะเป็นมิชชันนารีเมื่อวัยเด็กเมื่อได้ยินพ่อแม่คุยกันที่โต๊ะอาหารเรื่องประเทศจีน และเมื่อท่านมั่นใจว่าพระเจ้าทรงเรียกให้ไปประเทศจีน ท่านได้เตรียมตัว และเตรียมใจ เตรียมชีวิต โดยการอธิษฐานอย่างจริงจัง โดยการศึกษาพระคัมภีร์ และฝึกทำงานกับคลินิกเพื่อจะมีประสบการณ์เพื่อพระเจ้าจะใช้ในอนาคต และท่านฝึกทนความยากลำบาก คือ กินอาหารวันละสองมื้อและฝึกนอนบนที่นอนแข็งๆและอยู่อย่างง่ายๆและออกประกาศทำงานกับคนยากจนใจสลัม และพระเจ้าเองทรงเตรียมชีวิตของท่านในเรื่องความเชื่อ เพราะหลายครั้งที่เจ้านายก็ลืมจ่ายเงินเดือนและทำให้เขาใจหายใจคว้ำม และในที่สุดก็มีการทดลองครั้งยิ่งใหญ่ คือ แฟนคนที่เขารักมาก
ปฏิเสธิที่จะร่วมชีวิตถ้าฮัดสันไปรับใช้ที่ประเทศจีน แต่ฮัดสันเลือกพระเจ้าและเชื่อว่าพระเจ้าจะช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง ท่านจึงตัดสินใจไปประเทศประเทศจีน และเมื่อท่านไปที่จีนท่านก็ต้องขอบคุณพระเจ้าที่เตีรยมท่านอย่างดีเพราะท่านได้เผชิญกับสงครามกลางเมือง และการอดอาหาร การกินอยู่ก็ลำบากแสนสาหัดและสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้จากคลินิกก็ช่วยให้ท่านทำงานท่ามกลางคนเจ็บป่วยได้เป็นอย่างดี ท่านรักคนจีนอย่างสุดใจ และยอมเป็นเหมือนคนจีนทุกอย่าง พูดภาษาจีน กินเหมือนชาวจีน แต่งตัวเหมือนชาวจีนแม้ทรงผมของท่านก็โกนครึ่งหัวและถักเปีย พระเจ้าได้ใช้ท่านให้ประกาศหว่านและเก็บเกี่ยวจิตวิญญาณของคนจีน และภายหลังท่านได้ภรรยาที่เป็นคนอังกฤษสวยกว่าดีกว่าแฟนเก่าและรักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจและรักคนจีนเหมือนกับท่าน ซึ่งต่างจากแฟนเก่าอย่างสิ้นเชิง และพระเจ้าทรงใช้ท่านให้ตั้งองค์การหนึ่ง คือ โอเอ็มเอฟ OMF คือ เน้นการประกาศข่าวประเสริฐและสร้างผู้รับใช้และงานของท่านได้เติบโตอย่างมากในประเทศจีนปัจจุบันนี้และในประเทศไทยที่เรารู้จัก คือ พระคริสตธรรมพเยาว์ พี่น้องที่รักท่านเป็นคนหนึ่งที่พระเจ้ากำลังเตรียมให้รับใช้เหมือนฮัดสันเทเลอร์ จงยอมต่อพระเจ้า จงฟังพระองค์ จงให้พระองค์เป็นที่หนึ่งในชีวิต และยอมเป็นคนทุกชนิดเหมือนคำกล่าวของเปาโล คุณก็สามารถทำได้เดี่ยวนี้ จงยอมให้พระเจ้าเตรียมและใช้ชีวิตของเราเถิด

### หมายเหตุ เมื่อพี่น้องได้ถวายเงินเข้าบัญชีของทับเวย์ขอท่านโปรดกรุณาโทร แจ้งให้ อ.สุนทรทราบด้วย0870999817
ชื่อบัญชี ( ออมทรัพย์ หรือ สะสมทรัพย์) ธนาคาร กรุงเทพ สาขา ตลาดสี่มุมเมือง
นาย ไพรัตน์ ประสิทธิ์นอก และ นาย สมชิต แจ้งไพร เลขที่บัญชี 237-2-07025-6

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

อยากพบกับความสำเร็จไหม

จับจ้องที่ความสำเร็จ : พระธรรมผู้วินิจฉัย 8
(แปลจากบทเรียนเรื่อง “ Focus on Finishing” ของ ดร.เดวิด เยเรมีย์ ศิษยาภิบาลคริสตจักร Shadow Mountain สหรัฐอเมริกา แปล และเรียบเรียงโดย หญิง นงนุช)

 หากเราศึกษาผู้วินิจฉัยจะเห็นวงจรที่ง่ายต่อความเข้าใจคือ อิราเอลกบฎ > พระเจ้าลงโทษ > พวกเขากลับใจ ร้องขอพระเจ้าช่วย > พระเจ้าส่งคนมาช่วยคือผู้นิจฉัย > พวกเขาก็อยู่กับอิสราเอลจนสิ้นชีวิต แล้ว>> อิสราเอลก็ออกนอกลู่นอกทางอีก วนเวียนอย่างนี้อย่างน้อย 8-9 ครั้ง
 ผู้วินิจฉัย คือเรื่องของการที่พระเจ้าส่งบุคคลมาช่วยกู้คนของพระองค์ที่มักกบฎ และเราจะเรียนรู้เรื่องของ กิเดโอน

 เรื่องแบคทีเรีย
 การไม่ทำให้สำเร็จ อาจนำมาซึ่งความพินาศยอ่ยยับที่ยิ่งใหญ่ ทั้งต่อผู้ป่วย ต่อชีวิต ต่อสังคม หากเรากินยาปฏิชีวนะ จะพบว่า ข้างขวดยาจะมีคำกำชับว่า “กรุณาทานยานี้จดหมด” เพราะหากเราไม่กิน เราอาจจะกลับมาเป็นหนักกว่าเดิม!!
 การไม่ไปถึงความสำเร็จ อาจจะส่งผลร้ายต่อทุกแง่มุมของชีวิตเรา
 เราเคยไหมที่จะยังคงเกาะติดงานบางอย่าง แม้ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลง
 ยังมีใจสู้เหมือนตอนเริ่มต้นเกมส์การแข่งขัน แม้ว่าจะถูกนำไปแล้ว 2-0
 ไม่เสียกำลังใจแม้ว่าโครงการที่ตั้งใจทำดูจะไม่เป็นรูปเป็นร่างสักที
 มีคนกล่าวว่า การเริ่มต้นนั้นยาก แต่การรักษาทิศทาง และทำให้สำเร็จนั้นยากกว่า
 หากเราเป็นนักประกาศ การนำคนมาเชื่อไม่ยากมาก แต่การจะเลี้ยงดูให้เติบโตนั้นนะ งานหนักกว่า
 ดูจากงานประกาศใหญ่ๆ มีคนยกมือรับเชื่อเยอะ แต่กี่คนที่เหลือรอดเป็นคริสเตียนที่เข้มแข็ง

 บทเรียนวันนี้จากพระธรรมผู้วินิจฉัยเป็นเรื่องของผู้นำคนหนึ่งผู้ที่ตระหนักว่า “การกระทำให้สำเร็จนั้นมีความสำคัญมากเพียงใด” คือ กิเดโอน
 หากเราเคยศึกษาจะรู้ว่า พระเจ้าทรงประทานชัยชนะท่วมท้น เหลือล้นให้แก่เขา คือคนเพียง 300 คนรบชนะคน 135,000 คน (กรุณาอ่านดูในพระธรรมตอนต้นว่าถึงชัยชนะนี้ ก่อนทำความเข้าใจต่อไป)
 คนมีเดียนที่เหลือรอดก็วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ไปยังถิ่นที่อยู่ของตน คนของกิเดโอนก็ไล่ตามไป
 โมเม้นนี้ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำเหลือเกิน กับความสำเร็จที่พระเจ้าประทานให้กิเดโอน
 แต่กิเดโอนรู้สิ่งที่เราเองก็ควรรู้ด้วยว่า “เวลาที่อันตรายที่สุดสำหรับผู้นำ คือช่วงเวลาหลังชัยชนะใหญ่”
 มีงานวิจัยของนักจิตวิทยาซึ่งทำกับทหารในสงครามโลกครั้งที่สอง พบว่า ความผิดพลาด หรืออุบัติเหตุทางอากาศมากกว่า 70% เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่นักบินบินกลับฐาน เมื่อปฏิบัติภาระกิจเสร็จ !!!
 ง่ายแค่ไหน เมื่อเรารู้สึกว่า ถึง mile stone หรือประเมินผลครึ่งปีแรกพบว่า เรามาไกลกว่าที่เราตั้งเป้าไว้ เรามักรู้สึก เอ้ย! สบายจัง เรามักถอดชุดเกราะ เอาการ์ดลง แล้วก็ปล่อยตัวตามสบาย
 หลายครั้งเราลืม ลืม focus ที่ความสำเร็จปลายทางที่รอเราอยู่
 แท้จริง กิเดโอนอาจจะให้คนของเขาพักก่อน หลังจากที่ตีข้าศึกแตก แล้วรุ่งเช้าค่อยไปตามฆ่าคนมีเดียนต่อ แต่เปล่าเลย พวกเขากลับไล่ตามคนมีเดียนต่อไป พวกเขา Focus ที่ผลสำเร็จ ข้อ 8:4 แม้เหนื่อยล้า แต่ยังคงติดตามไป



มาดูกันว่ากิเดโอนต้องเจออุปสรรคอะไรบ้างในการไล่ตามความสำเร็จที่พระเจ้ามอบหมายให้

1. สำเร็จแม้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ผวฉ.8:1-3
 ข้อ 1 : เอฟราอิมต่อว่ากิเดโอนอย่างรุนแรง
• เอฟราอิมเป็นเผ่าที่สำคัญ และยิ่งใหญ่
• ไม่รู้ใครบอกเขา แต่ตัวเขานะคิดว่า ตัวเองสำคัญ และใหญ่คับบ้านคับเมืองไปหมด
• ดูในโยชูวา 17:14 ตอนที่จับฉลากแบ่งดินแดนกัน เอฟราอิมก็บอกโยขูวาว่า เฮ้ย เราเป็นเผ่ายิ่งใหญ่นะ ต้องให้เรามากกว่านี้
• สิ่งที่เอฟราอิมต่อว่านั้น (ในบทที่ 8:1-3) ดูเหมือนไม่ถูกต้องด้วย ไม่จริงเลย เพราะถ้าย้อยกับไปดู กิเดโอนให้คนเป่าเขาสัตว์เรียกคนไปรบดังไปทั่วเมือง เอฟราอิมก็มีสิทธิมาร่วม
• มีคนกว่า 30,000 คนได้ยินและมาร่วมรบ แต่คนเอฟราอิมกลับไม่มา บางทีเขาอาจจะคิดในใจว่า “ฉันเป็นคนสำคัญนะ ต้องให้กิเดโอนออกจดหมายเชิญมาสิ ฉันถึงจะไป”
• แต่ว่า เมื่อสงครามจบแล้ว คนอื่นไปรบกันมาแล้ว ได้ชัยชนะแล้ว คนเอฟราอิมกลับมาต่อว่าว่า ทำไมไม่บอกเรา
• ในตอนท้ายบันทึกว่า “ต่อว่าอย่างรุนแรง”
• เอฟราอิม เย่อหยิ่ง อิจฉา เห็นแก่ตัว ไม่แม้แต่จะดีใจกับเพื่อนร่วมแอกของตน แต่กลับวิจารณ์ด่าว่า
• นี่ไม่ใช่เทคนิคโบราณที่เอฟราอิมใช้เท่านั้น ซาตานก็ใช้เทคนิคนี้แหละในทุกวันนี้
• เมื่อคนของพระเจ้ารักเป็นน้ำหนึ่งกัน เมื่องานของพระเจ้าเจริญเติบโต เมื่อกลุ่มหรือทีมงานไปด้วยกันได้ดี ไม่ช้าไม่นาน ซาตานก็มักใช้อุบายง่ายๆ นี้ทำให้เกิดความแตกแยก ความอิจฉา ความเห็นไม่ลงรอยกัน รสนิยมต่างกัน ความรู้คนละระดับกัน อายุต่างกัน ฐานะการเงิน นิสัยไม่เหมือนกัน อะไรก็ได้ที่ถูกใส่เขามาเพื่อให้รู้สึกว่า เราต่างกัน
• พระเจ้าเรียนกิเดโอน ไปทำภารกิจ กิเดโอนก็ไปทำด้วยความยากลำบาก รวบรวมไพร่พล ไล่ฆ่า เสี่ยงเป็นเสียงตาย แต่นี่อะไร นี่คือเพื่อนของพวกเขา พวกเดียวกัน ที่กลับวิจารณ์กันเอง พี่น้องพวกเขากลับห้ำหันกันเอง

 ข้อ 2: กิเดโอนรับมืออย่างไร สุดยอดเลย “กิเดโอนไม่ได้เห็นแก่ตัวเอง” ผวจ.8:2-3
• โลกปัจจุบันอาจจะบอกว่า คำตอบของกิเดโอนไม่จ๊าบเลย ไม่สมศักดิ์ศรีผู้นำเลย เอฟราอิมเขาแทบไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เจอคน 2 คนแล้วก็ตัดหัวมา เทียบได้อย่างไรกับกิเดโอนที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันทั้งคืนที่ต่อสู้กับคนแสนกว่าคน
• เพราะกิเดโอนเข้าใจชีวิต และมีปัญหาจากพระเจ้าในสุภาษิต 15:1
• กิเดโอนสำแดงให้เราเห็นชัยชนะยิ่งใหญ่อีกครั้งคือการชนะตัวเอง เขาอาจจะตอบว่า “เอ้าแล้วพวกเจ้าไปอยู่ไหนมา เวลาเราไปรบก็หดหัวกันหมด?” หรือ “เพิ่งจะมาตอนจบเนี่ยนะพี่น้อง” กิเดโอนทำอย่างนั้นก็ได้ แต่เราไม่เห็นเพราะอะไร??
• เพราะกิเดโอน จดจ่ออยู่ที่ความสำเร็จ เป้าหมายของเขาคือการตามฆ่าคนมีเดียนให้หมด
• เขาอาจจะติดกับดักนี้ และมัวทะเลาะกับเอฟราอิม เพื่อเอาชนะคนที่มาด่าว่าเขา หรืออาจจะเสียเวลาพิสูจน์ ว่าสิ่งที่เอฟราอิมพูดนะไม่จริง หรืออาจจะเสียใจเลิกตามต่อ
• แต่เขาไม่ได้ทำ เพราะเขารู้ว่าการรบที่พระเจ้าใช้เขามานั้นยังไม่จบ มีสงครามต่อทำต่อไป
• เขา Focus สิ่งที่พระเจ้าเรียกเขาทำ แม้คำวิจารณ์ของเพื่อนก็ไม่อาจขวางกันเขาได้
 เราเคยทำสิ่งที่ถูก สิ่งที่เราแน่ใจว่าพระเจ้าเรียกหรือใช้ให้เราไปทำ แล้วถูกคนต่อว่าไหม?
• ในขณะที่เราตั้งใจทำ เหนื่อยล้ายากแค่ไหนก็ทำ พยายาม แทนที่ศัตรูจะมาโจมตี เปล่าหรอก เพื่อนร่วมบ้านเรา เพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน เพื่อนรวมคริสตจักร นั่นแหละที่มาเหน็บว่า “คุณคิดว่าคุณทำอะไรอยู่” “ไม่เข้าท่าเลย” “เห็นหัวฉันบ้างไหม”
• กิเดโอนไม่ยอมแพ้ต่อคำวิจารณ์ นี่เป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ที่สุดของกิเดโอน อาจมากกว่าการรบกับคนแสนคน คือการรบชนะใจตนเอง ชนะอารมณ์ของตนเอง
• พระธรรมสุภาษิต 16:32 สุภาษิตเป็นการสอนเชิงเปรียบเทียบ แต่ก็ตรง เพราะความโกรธของเราเอง เมื่อกำลังดำเนินไปตามทางของพระเจ้า พยายามทำแผนของพระเจ้าให้สำเร็จ แต่มีคนมาวิจารณ์ กระทบกระทั่ง แทนที่จะหันหัวรบไปข้างหน้า ก็หันมาเอาชนะคนข้างทางนี่ซะก่อน ท้ายสุด Focus เราก็เสียไป นี่เป็นวิธี basic และ classic มากที่ซาตานใช้มานาน และยังใช้ได้ในทุกวันนี้
• ขอบทเรียนของกิเดโอนจะสอนเรา ที่จะไม่เป็นแบบนี้

2. สำเร็จแม้หมดกำลัง อ่อนเปลี้ย ผวฉ.8:4
 ข้อ 4 : อ่อนเปลี้ย เป็นอย่างไง? หมดแรง หมดกำลัง กระหาย หิว ต้องการพัก ยกขาไม่ขึ้น หมดแล้ว
• หากไม่ใช่เพราะพระเจ้า กิเดโอนและพวก คง “อ่อนเปลี้ย และกลับบ้านนอน” แต่เปล่าเลยพวกเขา “ติดตามไป” ภาษาไทยไม่ชัด ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Pursuit” แปลว่า ไล่ไป แสวงหา “Chasing” ไล่ล่า
• โลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยคน เหนื่อยล้า จริงไหม? เราเองเคยไหม ที่เลิกทำบางอย่าง เพราะความเหน็ดเหนื่อย?
• หากวันนี้เป็นวันที่เราเหลื่อยล้า หมดแรง ลองมาทุกวิธีแล้ว ก็ยังไม่ดี ไม่รู้จะทำไงแล้ว หมดหนทาง ไม่รู้จะจัดการงานที่พระเจ้ามอบไว้ในมืออย่างไรแล้ว มีคำตอบเดียว “ทำต่อไป ไล่ตามไป มุ่งหน้าไป แค่ทำต่อไป”
• เราต้องทำ เพราะนี้คืองานที่พระเจ้ามอบหมายไว้ในมือเรา อย่าให้เราเอาความต้องการ ความอยากสบายของเรามาขวางความสำเร็จไว้
• บางครั้งเรายังคงต้องทำ แม้เหนื่อยสายตัวแทบขาด แน่หล่ะความเป็นมนุษย์ไม่อยากจะอยู่ในสภาพนี้หรอก แต่ในฐานะผู้นำเรารู้ว่า หากเราหันหลังให้กับความท้าทายนี้ เราก็ได้หันหลังในกับโอกาสในการทำงานของพระเจ้าให้สำเร็จ “อ่อนเปลี้ย แต่ยังไล่ตามไป”
• เรามาดูกันว่า ทำไมกิเดโอนยังสามารไล่ตามไป ในช่วงเวลาแห่งความเหนื่อยล้านี้ กิเดโอนมีวิตามินดี 3 V:
o Voice of the Past : เพราะเขารู้ว่าพระเจ้าทรงเรียกใช้เขาทำงานนี้ บทที่ 6:14 กิเดโอนได้ยินเสียงพระเจ้าเรียกชัดเจน ผู้เชื่อไม่ล้มลงในเวลาที่เจอปัญหาเพราะเขารู้ว่าพระเจ้าเรียกเขา หากเราเขาสู่พันธกิจ หรือภารกิจบางอย่าง ขอให้เราแน่ใจว่า พระเจ้าเรียกเราให้ทำ เพราะหากไม่ เมื่อมีปัญหา อุปสรรคที่ยาก เราจะเลือกเดินจากไป
o Victory of Present : พวกเขาจดจำค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงช่วยเขารบชนะคนมีเดียนได้ พระเจ้าช่วยกู้ 300 ชนะ 130,000 หลายครั้งเมื่อเราทำงานของพระเจ้า เราพบสถานการณ์ที่แย่ มีคนวิพากษ์ อ่อนแรง จำเป็นเหลือกเกินที่เราจะต้องเรียก Memory ที่พระเจ้าช่วยกู้เรามาดูอีกครั้ง
o Vision of the Future เชื่อว่ากิเดโอนรู้ว่า หากเขาไม่จัดการกับมีเดียนที่เหลืออยู่ ให้ราบคาบ พวกเขาอาจจะกลับมาสร้างความยุ่งยากให้ภายหลัง “ทานยานี้จดหมด” มีตัวอย่างมากมายในโลกปัจจุบันที่เราเห็นว่า การเก็บกวาดที่ไม่เรียบร้อย ราบคาบ สร้างความยุ่งยากในภายหลัง ในการเมือง ในสงคราม มากมาย ซึ่งกิเดโอนเดาถูกเพราะคนที่เหลือนั้นคือพวกที่แข็งแกร่งที่สุดจึงเหลือรอดได้


3. สำเร็จแม้ไม่มีใครแยแส ผวฉ.8:5-9
 ข้อ 5-9 Uncaring Heart สถาพของกิเดโอนคือรบมาทั้งคืน เหนื่อยล้ามาก พอเข้ามาในหมู่บ้าน จึงขอขนมปัง และน้ำเพื่อเพิ่มแรงหน่อย แต่
• แต่ชาวบ้านกลับถามว่า จับตัวเอ้ ได้หรือยัง? ไปจับมาให้ได้ก่อนเถอะ ถ้าจับไม่ได้พวกมีเดียนรวมตัวกันได้ พวกเราเนี่ยด่านแรกที่จะโดนโจมตีเลยนะ
• เหมือนสถาพปัจจุบันไหมคะ “เรื่องของเธอ ไม่ใช่เรื่องของฉัน / ไปจัดการให้เรียบร้อยก่อนเถอะ แล้วค่อยมาว่ากัน ไม่อยากยุ่งอะ เดี๋ยวงานจะมาเข้าเราเอง
• น่าหดหู่มากเลย นี่พวกเดียวกันนะ เพื่อนบ้านกันนะ
• โลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยคนอ่อนเปลี้ย หมดแรง จริงไหม?
• ที่แย่กว่าก็คือ ไม่ใช่หมู่บ้านเดียวนะ เป็นเหมือนกันหมด ไปอีกหมู่บ้าน ก็ไม่ให้
 ข้อ 15-16 Unbeliving heart พวก... ไม่เพียงแต่ไม่แคร์เท่านั้น ในใจลึกๆ นะเขาไม่เชื่อด้วยว่ากิเดโอนจะทำได้ จะไปตามจับมาได้จริงเหรอ และสุดท้าย กิเดโอนก็กลับมาให้บทเรียนกับคนเหล่านี้
• ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเขา ไม่มีคนช่วยเหรอ ... ไม่เป็นไรกิเดโอนทำหน้าที่ที่ต้องทำต่อไป
• ไม่มีปล่อยให้คน การกระทำของคนรอบข้าง มามีอิทธิพลสักนิดต่อ หน้าที่ที่เขาต้องทำเพื่อพระเจ้า
• เขาไม่ปล่อยให้คำตำหนิ มีอิทธิพลเหนือเขา เขาไม่ปล่อยให้ความเหนื่อยอ่อนมีอิทธิพลเหนือเขา เขาไม่ปล่อยให้คนรอบข้างมีอิทธิพลเหนือเขา
 นี่คือบทเรียนสำหรับทุกคนที่ทำงานของพระเจ้าโดยแท้
• หลายครั้งเราตั้งใจเริ่ม แต่ไม่นานเราก็เลิก
• เมื่อเราทำแบบนั้น เราได้เปิดประตูให้ศัตรูของเราเข้ามา พร้อมกับความท้อแท้ และความพ่ายแพ้

ยังไม่หมดนะ ยังมีความท้าทายสุดท้ายสำหรับกิเดโอน บุรุษผู้จดจ่อที่ความสำเร็จ

4. สำเร็จแม้ถูกทดลอง ผวฉ.8:22-23
 ข้อ 22 :การทดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตกิเดโอน
• คนอิสราเอลเห็นสิ่งที่พระเจ้าทำในชีวิตของกิเดโอน เห็นว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยอย่างมาก เห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าช่วยกิเดโอนรบชนะ
• คนอิราเอลเลยว่า “ o.k. ใช่เลย กิเดโอนขอท่านมาเป็นกษัตริย์ของเราเถิด มาปกครองเรา รับทั้งตระกูล พงษ์พันธุ์”
• ว้าว ! ถ้าจะพูดก็เป็น Golden moment มีเกียรติสำหรับผู้นำ คือการได้ก้าวไปสู่สุดสูงสุดของการเป็นผู้นำ แต่ช่างเป็นนาทีแห่งการลองใจที่ใหญ่ยิ่งสำหรับกิเดโอน
• เราอาจจะถามว่า อ้าวก็ดีนี่ มันผิดตรงไหน? กิเดโอนสมควรได้รับแล้ว ทั้งเก่ง พระเจ้าก็อยู่ด้วย มีอะไรผิดหล่ะ
• ที่ผิดก็คือ เพราะพระเจ้าไม่เคยบอกว่า ให้กิเดโอนเป็นกษัตริย์ มันไม่ใช่หน้าที่ที่พระเจ้ามอบหมายให้กับเขา ไม่ใช่ที่ที่พระเจ้าเรียกให้ทำ แม้จะดูดีแค่ไหน จะช่วยให้คนรอบข้างสบายใจแค่ไหน จะทำให้ครอบครัวได้ดีแค่ไหนก็ผิด
• ย้อยกลับไปดูตอนแรกของการเรียกกิเดโอน พระเจ้าบอกว่าให้เอาคนไปน้อยคน เพื่อว่าเมื่อมีชัยชนะพวกเจ้าจะได้ไม่ทะนงตนและคิดว่าเขาทำสำเร็จ และความสำเร็จมาจากพระเจ้า
• หากกิเดโอน ไม่เอาชนะความเย้ยยวน ของเกียรติ และชื่อเสียง โดยยอมเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ก็เท่ากับเขาได้ทำลายทุกสิ่งที่เขาทำมาในตอนจบ
• แท้จริงกิเดโอนไม่ได้เหมาะจะเป็นกษัตริย์ด้วยตัวเขาเอง เขาไม่ได้ทำอะไร เพียงแต่ เชื่อฟังพระเจ้า ไม่มากกว่านั้น ไม่น้อยกว่านั้น ความสำเร็จมาจากพระเจ้า
 ข้อ 23 เรามาดูคำตอบของกิเดโอนกัน
• สั้น ชัด และมีพลัง “เราจะไม่ปกครอง ลูกเราจะไม่ปกครอง แต่พระเจ้าจะปกครองท่าน”
• เมื่ออ่านถึงตอนนี้ลองคิดเล่นๆ นะ ทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดนะว่า ถ้าเปรียบกับโลกปัจจุบันจะเป็นไง มีชัยชนะใหญ่ คงต้อง “จัดงานแถลงข่าว ถ่ายรูป พาดหัวหน้าหนึ่งทุกเล่ม
• แต่ดูสิ่งที่กิเดโอนทำ ...... เขารู้โดยแท้ ไม่มียึกยัก ไม่กัก เรารู้ว่า กำลัง ความสามารถ ทั้งสิ้นของเรา อยู่ในพระเจ้า เขาจึงสำเร็จ

สรุป : ถามตัวเราในวันนี้ ว่าเราสำเร็จหรือยัง?
 เราถูกหยุด รั้ง ไม่ให้ไปถึงเส้นชัยที่พระเจ้ามอบให้ เพราะ
• คำวิพากษ์ วิจารณ์
• หรือเพราะเราเหน็ดเหนื่อย
• หรือเพราะ มองไปทางไหน ไม่เห็นมีใครแยแส
• หรือเพราะเราพ่ายแพ้ต่อการทดลอง
 เราอาจจะถามตัวเองว่า “เราทำสำเร็จแผนการของพระเจ้าสำเร็จได้ไหม?”
• ในหกวันพระเจ้า ทรงสร้างโลก และการทรงสร้าง สำเร็จ วันที่เจ็ดพระองค์ทรงพัก
• พระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน แบกบาปของคนทั้งโลก บนกางเขนก่อนสิ้นพระชนม์พระองค์ร้องว่า ยอห์น 19:30 “สำเร็จแล้ว” พันธกิจแห่งการไถ่บาป สำเร็จ
• อ.เปาโลเขียนจดหมายถึงทิโมธี 2ทม.2:7 “ข้าพเจ้าได้สู้สุดกำลัง แข็งขันจนถึงที่สุด อ.เปาโลทำภารกิจสำเร็จ
• เมื่อพระองค์มอบหมายภารกิจ พระองค์คาดหวังให้มันสำเร็จเสมอ
 พระเจ้าคาดหวังเราทุกคนให้ไปถึง “ความสำเร็จที่พระองค์มอบหมายเสมอ”
• แน่นอนคนเรามีนิสัยบางอย่าง โลกสอนให้เราเอาง่ายๆ เข้ามา สะดวก รวดเร็ว Instant สิ่งเหล่านี้ขวางกั้นเราไม่ใช้ไปถึงเส้นชัย
• บางคน เริ่มต้นเรียน ลงทะเบียน แต่ไปไม่ถึงไหน
• บางคนเริ่มชีวิตครอบครัวอย่างมีพระเจ้า แต่เมื่อพบปัญหา ก็อยากจะจบด้วยวิธีของตนเอง
 คำถามที่เราต้องคิดคือ อะไรบ้างที่เป็นภารกิจที่พระเจ้าใส่ไว้ในตัวเรา แล้วเรายังทำไม่สำเร็จ? แล้วเราจะทำอย่างไรกับสิ่งนั้น?
• คนอื่น ไม่อาจรู้ได้ว่า มันมีอะไรบ้าง? เพื่อนร่วมงาน หัวหน้างานไม่อาจรู้ได้
• บางคนชีวิตคู่อาจจะกำลังอยู่ในหุบเขาเงามัจจุราช คนรอบข้างบอกให้เลิกเถอะ แต่ลึกๆ ในใจเรารู้ว่าเราต้องทำอะไร?
• เดือนที่ผ่านมา ต้องช่วยผู้หญิงคนหนึ่งที่ชีวิตคู่พัง สามีทิ้ง และเขาอยากตาย เกือบทุก 3 ชั่วโมง ต้องบอกเขาว่า สู้ต่อไป บางครั้งชีวิตคู่มันไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบ มันยากกว่าที่นึก วุ่นวายกว่าอยู่คนเดียว เอ้า เลิกกันมันง่ายกว่า เจ็บน้อยกว่า เรามักมีปัญหาปุ๊บ เราก็เลือกวิธีที่ง่าย เลิกกันเถอะ แยกกันไปเถอะ ไม่เป็นไร เผื่อ จะมีโอกาสที่เจอคนใหม่ที่ดีกว่า แต่พระเจ้าสอนว่าอย่างไร ความสัมพันธ์ของชีวิตคู่คือนิรันดร์ จนกว่าพระคริสต์กลับมา หรือจนกว่าความตายมาแยกเราจากกัน เราอาจอ่อนล้า หมดแรง แต่ยังต้องเดินหน้าต่อไป
• หรือพระเจ้าอาจจะนำเราไปยัง งานที่ยาก เรารู้ว่าพระเจ้าเรียกเราแน่นอน แต่มันยากเหลือเกินพระองค์ ไม่ใช่ตัวเราเลยพระองค์ “ข้าพระองค์เป็นคนเล็กน้อย ในหมู่คนเล็กน้อยที่สุด” ไม่เอาแล้ว อยากจะหันหลังกลับแล้ว เพราะมันลำบากเกินไป ฟื้นระลึกถึงการเรียกของพระองค์ และมีสิ่งเดียวที่เราควรทำคือ ทำให้สำเร็จ ตามที่พระเจ้าเรียก
• หรือเราอาจจะเหมือนกิเดโอน คุณอาจจะเพิ่งเสร็จงานใหญ่ งานสำคัญ สงครามที่รบร่วมกับพระเจ้ามา เหนื่อย แต่ยังมีงานสำคัญรออยู่ข้างหน้า แม้เหน็ดเหนื่อย แต่ยังต้องไล่ตามไป เราต้องทำให้สำเร็จ

 เรื่องน่าเศร้าของความสำเร็จก็คือ บ่อยครั้ง ที่ชัยชนะทีเราโหยมามันอยู่อีกแค่ปลายนิ้ว อีกนิดเดียว แต่เรากลับเลิกซะก่อน มีเรื่องเราของหญิงสาวนักว่ายน้ำ ที่อยากจะทำสถิติว่ายน้ำข้ามระหว่างรัฐ ไม่เคยมีใครทำมาก่อน แน่นอนมีอันตรายมาก เพราะคลื่นลมแรง แย่ยิ่งกว่านั้น ในวันแข่ง มีฝนตกหนัก ขณะที่ว่ายไป ก็จะมีคณะคอยติดตามไปดูความปลอดภัยด้วย เธอว่ายไปยาวนาน เหนื่อยมาก และมองไม่เห็นทางข้างหน้าเลย มีคลืนลมแรง จะเห็นแค่ระยะ 1-2 เมตรข้างหน้าเท่านั้นเพราะคลื่นใหญ่มาก ด้วยท่าทางเธอจะหมดแรง ทีมงานก็เลยบอกว่า ให้ยอมแพ้เถอะ กลับขึ้นเรือ ไปไม่ถึงฝั่งหรอก เพราะยังอีกไกล ครั้งแรกเธอไม่ยอมหยุด พอเห็นเธอเหนื่อยหอบ ทีมงานก็บอกว่า หยุดเถอะ หยุดเถอ ทำไม่ได้หรอก พูดอยู่จนในที่สุด เธอยอมแพ้ และขึ้นเรือที่ตามมา น่าเศร้าเมื่อเธอพบความจริงว่า อีกแค่ ครึ่งไมล์เธอก็จะถึงฝั่งแล้ว เธอเลิกเร็วเกินไป หากเธอมีความหวัง Focus ที่ความสำเร็จ เธอคงว่ายต่อไป แต่มันคือความจริงในชีวิต บ่อยครั้งพระเจ้ามอบหมาย ให้ความหวัง และบอกให้เราจับจ้องที่พระองค์ แต่ซาตานมันมักค่อยกระซิบข้างๆ หูว่า เลิกเถอะ ไม่ได้หรอก ไม่สำเร็จหรอก เหนื่อยแล้ว พอเถอะ บ่อยครั้งที่เราถอนตัว อีกแค่นิดเดียว

 พระเจ้ามีแผนการที่ยิ่งใหญ่ สำหรับชีวิตเราแต่ละคน อย่าท้อถอย จนกว่าเราจะสำเร็จ!!

“อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเก็บเกี่ยวผลในเวลาอันสมควร”

var PS = "96690";
{0}

คำเทศนา อ. เรย์ Ray 's Sermon

Sunday, February 22, 2009It is Sunday here in Tupelo—just barely. I looked at the clock a moment ago and it read 12:03 AM. Once I send this sermon out, I’m going to bed. We have been on the road a lot lately. Four weeks ago we were in New York. Three weeks ago I was in New Brunswick. Two weeks ago we were in Chicago. And last weekend we were in California. After all that coast-to-coast travel, it’s good to be home for a few days. This Tuesday (February 24) I’m going to be doing a broadcast on American Family Radio from 11 AM-12 Noon Central Time. You can hear the program by clicking on the link and then clicking on “AFR Talk."
Don’t forget that you can connect with us on Facebook or Twitter.This week’s brand-new podcast is called Come Before Winter.There is a lot more going on right now, including plans for our trip to the Philippines next month and the Holy Land tour in October.Thanks again for supporting us in prayer and with your gifts. This ministry depends entirely on friends who believe in what we are doing. You can give by mail or via our online giving option.You can find my daily weblog with the latest personal news, updates on Dudley and Gary, links to interesting articles, commentary on current events, travelogue and biking updates (138 miles YTD) at Keep Believing and Crosswalk. That's the news from my corner of the world. I hope you have a wonderful week.Ray Pritchard-----------------------------------Keep Believing MinistriesTupelo, MississippiFebruary 22, 2009
Miracles Come in Many VarietiesHebrews 11:33-38
By all accounts, the best definition of faith in the Bible is found in Hebrews 11:1, "Now faith is being sure of what we hope for and certain of what we do not see." The King James Version translates it this way: "Now faith is the substance of things hoped for, the evidence of things not seen." The word that is translated "substance" or "being sure of" comes from a Greek word that means "to stand under." It is the firm reality which stands under something, like a foundation "stands under" a house. In a similar sense, it could be used to refer to the title deed to a piece of property. Faith, then, is the solid foundation upon which we build our lives. It is like the title deed to the things we are hoping for. It gives "substance" to our dreams. The word translated "evidence" or "certain of" comes from a Greek word that was used for the legal proof needed to back up an accusation. Faith in that sense is the inner conviction that God will keep his promises. Faith is like the evidence that is offered in a courtroom. It produces an inner conviction that certain things are true. Faith makes real the things we hope for. It gives inner conviction to our dreams. Faith makes the things we hope for so real that it is as if we already had then. By faith, we "see" things that do not yet exist. A Simple Definition Of FaithLet me give you the best definition of faith I've ever heard. Faith is belief plus unbelief and acting on the belief part. We all know that belief is involved in faith. You have to believe something before you can have faith. If you go to a doctor, you must believe he can help you. If you don't believe, you'll never go in the first place. Before you step into an elevator, you've got to believe it will hold you up. If you don't believe, you'll end up taking the stairs. So belief is always the first part of faith. It is the conviction that certain things are true.Unfortunately, some people stop their definition of faith right there. They think faith is belief plus nothing else. Faith to them is pure belief without any mixture of doubt. That's okay as long as you stay in your house, in your bed, and under the covers. But in this world, it's hard to arrive at 100% certainty about anything. You hope the doctor can help you, but maybe he's really a quack. You hope the elevator will hold you up, but maybe the cable has gone bad. People who truly believe that faith means 100% certainty are paralyzed. They are waiting for something that will never happen. In truth, there is always unbelief mixed in with our belief. You see it best in the big decisions of life. You get a good job offer in another part of the country. It's a great opportunity, but you don't want to move. You are stuck in your present job, but the kids are happy in school. Your wife doesn't want to move, but you've found twice the house for half the money. You think you should, but some of your friends aren't sure. Late at night you toss and turn, first going one way and then going another. That's reality. You don't have 100% certainty and you don't know of any way to get 100% certainty. You think so, you hope so, you pray for guidance, you seek counsel, you write it all down, you wait for a lightning bolt from heaven but it never comes. What is faith? In the big decisions of life, faith is not waiting for 100% certainty. Faith is wavering between belief and unbelief, doubt and assurance, hope and despair, and finally, hesitantly, with your heart in your hands, acting on the belief part. Let me put this very clearly. Many people think "living by faith" means staying over in the "Belief" column until you get certainty. But that almost never happens. That's not "living by faith;" That's "stalling by faith." Living by faith means acting on the belief part. It means taking a step of faith, however small, however halting, however unsure of yourself you may be.And The Walls Came Tumblin' DownGo back and take a survey of Hebrews 11 and see if it isn't so. Faith always means taking action. Look at the list. By faith . . . Abel offered a better sacrifice (v. 4), Noah built an ark (v. 7), Abraham left Ur of the Chaldees (vv. 8-10), he offered his son Isaac (v. 17), Moses left Egypt (v. 27). And consider the example of the walls of Jericho (v. 30). The Hebrews marched around the walls once a day for seven days. Can you imagine the scene? Thousands of Jews line up the first day to march around the city. In front are the priests with the Ark of the Covenant. They march around singing and laughing. Inside the pagans are scared to death.Nothing happens. The next day the Jews march around again. And nothing happens. On the third day they march around again. And nothing happens. Only this time the people inside are starting to relax. On the fourth day they march around again. And nothing happens. This time some garbage flies over the wall. The people of Jericho are shouting insults at the people of God. On the fifth day the same thing. On the sixth day the same thing. But on the seventh day, as they march around the city, the trumpets start to play and the people let out a shout. And in one miraculous moment, "the walls came tumblin' down." That's it. That's how faith works. Don't you think there were some doubters? Don't you think there were some critics? Don't you think there was some grousing in the ranks? Sure there was. These are real people who are tramping around in the hot sand day after day. It's hot and nasty and extremely frustrating. But they did it. That's "acting on the belief part." And when they took the step of faith, God honored it and the walls of Jericho fell to the ground. Let me say it again. Faith is belief plus unbelief and acting on the belief part. Don't worry about your doubts. Faith is always mixed with doubts. When you finally get up the courage to act on the belief part, in spite of your doubts, then you are truly living by faith.The Triumphs of FaithBut there is more to the story than that. If I left the matter there, I would be leaving a very incomplete picture. It sounds too easy. But living by faith is often very difficult. And it doesn't always end up the way we would like. Does living by faith mean you will always receive a miracle? The answer must be no. Consider again the heroes of faith in Hebrews 11. Only this time let's go to the end of the chapter. Verses 33-35a record the Triumphs of Faith:
Who through faith conquered kingdoms, administered justice, and gained what was promised; who shut the mouths of lions, quenched the fury of the flames, and escaped the edge of the sword; whose weakness was turned to strength; and who became powerful in battle and routed foreign armies. Women received their dead back to life again.
These wonderful examples teach us that God sometimes intervenes on behalf of his people in miraculous ways. Sometimes those miracles occurred in the heat of combat where a vast army was defeated by the faithful people of God. We have only to read the story of Shadrach, Meshach and Abednego in Daniel 3 to understand that what it means to quench the fury of the flames. The phrase “women received their dead back to life again” refers to the widow of Zarephath in 1 Kings 17 and the Shunammite woman in 2 Kings 4. In all these examples the writer calls to mind people who found themselves in humanly impossible situations. When they cried out to God, he delivered them. Christianity is a religion of miracles. Take the miraculous out of our faith and you are left with nothing but a set of ethical instructions that has no power to change the heart. Subtract the miracles and suddenly Christianity becomes just another religion. Without the miracles, we have no good news to share with the world. And the Bible is a book of miracles from first to last. Take the miracles away and suddenly the Bible is no longer the Word of God. It's just another book. You can no more take miracles out of Christianity than you can take light from the sun. Without the light, there is no sun. Without the miracles, there is no Christianity. After all, our faith rests on two stupendous miracles. First, we believe that God became a man. Second, we believe that that man (the Son of God) rose from the dead. If we are not astounded by that, we should be. It’s not just that Jesus worked miracles. It’s that he himself entered and exited this world by miraculous means.So we should read Hebrews 11 and think, “These things happened. And they may happen again at any time.” But since God is God and we are not, miracles are not ordered up the way we order pizza on Friday night. God doesn’t work for us. It is right at this point that we come to the core issue regarding miracles. You can't read the Bible without running into miracles, but they don't happen all the time, and you can't predict in advance when they will happen. That fact ought to us help us as we think about miracles today. In one of his books, William F. Buckley quotes British author Evelyn Waugh who said, "God does work miracles, but it is presumptuous to anticipate them."We believe in miracles! And we pray and fervently believe and hope and trust and wait for miracles to occur. But we understand that God works according to his own will, and that we cannot anticipate miracles even as we pray and wait and hope for them. The Trials of FaithSo the first part of the list is wonderful and should inspire us to trust God for amazing things, especially when we face the impossibilities of life. But that is only part of the story. Verses 35b-38 record the Trials of Faith:
Others were tortured and refused to be released, so that they might gain a better resurrection. Some faced jeers and flogging, while still others were chained and put in prison. They were stoned and they were sawed in two; they were put to death by the sword. They went about in sheepskins and goatskins, destitute, persecuted and mistreated—the world was not worthy of them. They wandered in deserts and mountains, and in caves and holes in the ground.
Who are these poor, benighted souls? What have they done to deserve such punishment? The writer simply calls them "others." They are "others" who lived by faith. These men and women who endured such torment were living by faith just as much as Noah, Abraham, Moses or Joshua. Their faith was not weaker. If anything, their faith was stronger because it enabled them to endure incredible suffering. They are not "lesser" saints because they found no miracle. If anything, they are "greater" saints because they were faithful even when things didn't work out right.We need to see this clearly.“Others were tortured.” God does not always stop the hand of the persecutors. “Others were chained and put in prison.” Some of God’s finest saints can be found behind prison walls.“They were sawed in two.” Tradition says this is what happened to the prophet Isaiah.“They were put to death by the sword.” That still happens today.“They world was not worthy of them.” Their suffering was a gift from God to the world.(To learn more about the persecuted church, go to the Persecution Blog or to International Christian Concern or to Compass Direct.) Please get it clearly in your mind that these “others” who suffered did not lack faith. The whole point is, they had great faith and they suffered anyway. There was nothing wrong with their faith. Nothing! They were just as pleasing to God in their agony as the saints who were delivered by great miracles. Some were delivered.Some suffered and died.All lived by faith.God was pleased with all of them.That’s the real message of these closing verses of Hebrews 11. Remember that miracles come in many different varieties. I had a friend with cancer who prayed and prayed that he might be healed. Eventually he decided that he would not pray that way anymore, not because he thought it was wrong but because he asked himself, “Will God be glorified more by my healing or by my faith being strong even if I am not healed?” Great question, exactly the right way to look at it, and only God knows the answer. So he prayed that God would be glorified whether by healing him or by giving him strength to keep believing no matter what. That strikes me as the right biblical balance. And in the larger sense, which is the greater miracle, the parting of the Red Sea or the pastor in Yemen who is arrested and beaten for his faith and continues to preach the gospel anyway? Miracles come in many varieties. Some are outward and spectacular. Some are inward as God gives strength to his children as they suffer for him. Who’s to say which is greater?In light of that, let me revise my definition of faith. Faith is belief plus unbelief and acting on the belief part without regard to the consequences. Living by faith means you take a step of faith without knowing where it will lead you. If you are Noah, you build the ark and hope it floats. If you are Abraham, you set out for the Promised Land and hope you find it before you die. If you are David, you step into the valley to face Goliath and you pray that you kill him with the first stone because you won't get a second chance. Sometimes it works out the way you hoped. Other times it doesn't. Faith means you step out with no guarantees. TelemachusThis week I read again the story of Telemachus. You can find it in Chuck Colson's book Loving God, pp. 241-243. It's a true story about an Asiatic monk who lived during the early part of the fifth century.
One day, as he was tending his garden at the monastery, he felt God calling him to go to Rome. He had never been there and had no idea why God would want him to go. But the feeling grew stronger until Telemachus knew he must make the long journey. So he set out across Asia Minor and caught a boat for Rome. After many days he landed and made his way to the Imperial City. When he got there, he found that the city was in the midst of a great celebration. The Romans had just defeated the Goths. Telemachus still had no idea why he had come but he noticed great crowds moving through the streets toward the famed Coliseum. He followed the crowds and thought to himself, "Perhaps this is the reason why God has called me here." It turned out that the crowds had gathered for the gladiator contests. That meant that men would fight against men on the arena floor until only one man was alive Then the wild animals would be let loose to devour the body of the dead gladiators. It was a violent, bloodthirsty sport. The crowds had come to watch the action.At length, the gladiators marched in, saluted the emperor and shouted, "We who are about to die salute thee." Then the games began. Telemachus was shocked. He had never seen such a thing. But he knew that he could not keep silent while men killed each other for entertainment. In a flash of blinding insight Telemachus knew what he must do. He ran to the perimeter of the arena and cried with a loud voice, "IN THE NAME OF CHRIST, STOP!" The crowd paid him no heed. He was just one voice among thousands. So Telemachus made his way to the edge of the arena and stepped onto the sandy floor. There he was, rushing here and there, dodging the gladiators as they thrust at each other. He cried out again, "IN THE NAME OF CHRIST, STOP!" The crowd began to cheer, thinking perhaps that he was part of the entertainment, like a clown at a rodeo. Then he blocked the vision of one of the gladiators causing him to narrowly avoid a death-dealing blow. Suddenly the mood changed and the crowd became angry. "KILL HIM! KILL HIM! KILL HIM!" The gladiator he had blocked took his sword and struck Telemachus in the chest. Immediately the arena floor turned sandy red from his blood. The little monk fell to the ground and as he died, he cried out for the final time, "IN THE NAME OF CHRIST, STOP!" Then a strange thing happened. A hush fell over the arena. All eyes were focused on the still form in the crimson sand. The gladiators put down their swords. One by one the spectators left their seats and emptied the Coliseum. Historians tell us that was the last gladiatorial contest in the Roman Coliseum. Never again did men kill men for entertainment in the arena. When Telemachus died, the gladiator contests died with him.
Think about that story for a moment. Was Telemachus a man of faith? Yes. Did he obey God? Yes. Did he have his doubts? Certainly. But he acted on the belief part without regard to the consequences. Living by faith, in the end, meant dying by faith. But he made a difference in the world. And the strength to live and die for Christ is as much a miracle as being delivered from the lion’s den. We can safely draw three conclusions about those who live by faith:
1) They will see great triumphs and endure great trials.2) They will be misunderstood by the world.3) They will be glad they did what they did in the end.
Christ calls us to follow him wherever he leads, whatever it costs. And the word of Christ to all of us is always the same, “Come, follow me.” Try it out. Come to him. Put your life in his hands.I wish I could promise you a long life and much happiness but I can’t. You may live to be 90 or you may die tomorrow. Your path may be easy or it may be an unending struggle. If you decide to live by faith, there are no guarantees. You may end up witnessing vast miracles or you may be counted among the “others” who suffer for Jesus Christ. I cannot promise you an easy road if you decide to follow Jesus Christ. But I can promise you this. You will be blessed and you won't be sorry. And in the end, you will discover that the life of faith is full of adventure, and you will be glad you weren't a couch potato but dared to make a difference in the world.
Forward this message to a friend
Please email us if you are having trouble accessing this email or if the formatting of this message looks incorrect. Let us know what email application you are using (e.g. Outlook, Gmail, Thunderbird, etc.) Also: Please send us a screenshot if you are able to.

© 2008 Keep Believing MinistriesDr. Ray PritchardAll Rights Reserved

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เชิญมารับความสุขจากพระเยซู

เทศนา ( อ. สมชิต แจ้งไพร)
/// คำเชื้อเชิญจากพระเยซู มัทธิว 11:28 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข

คำนำ...... มนุษย์ในโลกนี้ทำงานตรกตรำก็เพื่อความสุข และรำเรียนอย่างหนักก็เพื่อหวังว่าจะได้ความสุข และ ท่านซาโลมอนเป็นคนที่เก่งที่สุด รวยที่สุดฉลาดที่สุดในโลก ยังไม่พบกับความสุขแท้ ถ้าไม่มีพระเจ้ามีส่วนร่วม
( ปัญญาจารย์ 2:24-26) สำหรับมนุษย์นั้นไม่มีอะไรดีไปกว่ากิน และดื่ม กับหาความชื่นบานในการงานของเขา นี่แหละข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นมาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า 25ด้วยถ้าไม่อาศัยพระองค์แล้วใครจะกินได้เล่า หรือใครจะมีความชื่นบานได้ 26เพราะว่าพระเจ้าประทานสติปัญญา ความรู้ และความยินดีให้แก่คนที่พระองค์ทรงพอพระทัย แต่ส่วนคนบาปพระองค์ประทานงานที่ต้องเก็บเกี่ยวและสะสม เพื่อให้แก่ผู้ที่พระเจ้าพอพระทัย นี่ก็อนิจจังด้วยคือกินลมกินแล้ง
/// วันนี้มีข่าวดีถ้าเราอยากพบกับความสุข พระเยซูเชื้อเชิญทุกคนให้มารับ
เรื่องนำเสนอ........ จงมารับความสุขจากพระเยซู มธ.11:28
/// จะรับความสุขจากพระเยซูได้อย่างไร
1. อย่าเห็นว่าพระเยซูเป็นอุปสรรค หรือ เป็นภาระ มธ.11.6 Jesus is not obstacles
- คือ อย่าคิดว่าพระเยซูเป็นเรื่องน่าอาย เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่สร้างโลกนี้
และตายที่กางเขนเพื่อบาปของเรา
/// มีบางคนเห็นว่าพระเยซูเป็นอุปสรรค และภาระ เช่น บางคนกลัวเพื่อนๆจะล้อเลียน บางคนกลัวว่าตัวเองเป็นพวกเปลี่ยนศาสนา ผมจำได้ตอนที่ผมกลับใจเป็นคริสเตียนก็ถูกตำหนิจากเพื่อนและญาติพี่น้องว่าขายชาติศาสนา และ ในสมัยของพระเยซูพระเยซูทรงตรัสกับสาวกของยอห์นผู้ให้บัพติศมาว่าผู้ใดไม่เห็นว่าเราเป็นอุปสรรคผู้นั้นเป็นสุข
/// มีบางคนที่คิดว่าพระเยซูเป็นอุปสรรคและภาระ เช่น ถ้าเชื่อพระเยซูต้องไปโบสถ์ ต้องอ่านพระคัมภีร์ และเสียโอกาสที่จะได้เงินจากการทำงานโอที และ บางคนกลัวว่าถ้าเชื่อพระเยซูจะตกงาน เพราะเจ้านายและเพื่อนๆอาจไม่ชอบ และบางคนก็กลัวว่าสามีจะไม่รักถ้า
เป็นคริสเตียนหรือกลัวสามีหรือภรรยาขอเลิก และบางคนก็คิดว่าการเป็นคริสเตียนนั้นต้องแต่งงานกับคนที่เป็นคริสเตียนเท่านั้น และบางคนคิดว่าถ้าเป็นเชื่อพระเยซูแล้วจะทำบาปไม่ได้ เช่น เจ้าชู้ไม่ได้ กินเหล้าสูบบุหรี่ไม่ได้ เล่นหวยและการพนันอื่นๆไม่ได้
- บทเรียนสอนใจ ...... แท้จริงแล้วถ้าเรามองให้ดีๆ พระเยซูเป็นพระพรมากกว่าเป็นภาระ เช่น
เรื่องที่เรากลัวเพื่อนล้อเลียนและข่มเหง กลับเป็นเรื่องดีโดยให้เห็นว่าเหตุผลทำไมเราเป็นคริสเตียน เพื่อเราจะรับความรอด และทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีแต่ไม่มีความรอดให้เราและการที่คนอื่นๆล้อเลียนและข่มเหงนั้นเพราะเขาไม่ชอบเราที่ต่างจากเขาและเขาเกลียดชังเราเพราะพระเยซู ไม่ใช่ตัวของเรา ( ยอห์น 15.18-25 ) เขาเกลียดชังพระเยซูและคริสเตียนโดยไม่มีสาเหตุ พระเยซูและคริสเตียนไม่ได้ทำความเลว หรือความบาปแต่เพราะเราต่างจากเขาและดีกว่าเขา แทนที่เขาจะยินดีกับเราที่เราเลิกทำชั่วและเป็นคนดี เช่น ตอนที่ผมเป็นคริสเตียนใหม่ๆ กลับไปเยี่ยมบ้าน พี่สาวและพี่ชายของผม รังเกียจ ไม่ร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยและยังหาว่าเป็นคนไทยต้องนับเป็นพุทธเท่านั้น แต่แม่ของผมแม้ยังไม่เชื่อพระเจ้าก็พูดกับพี่ๆของผมว่า ลูกเอย เราน่าจะดีใจกับน้องคนใหม่ที่ไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่และไม่ทำความเดือดร้อนมาให้ เมาเหล้าเป็นนักเลงตีกันหัวล้างค่างแตก และหาแต่หนี้และเรื่องมาให้ เราควรยินดีกับน้องซิ .....พวกพี่ของผมก็เลยพูดว่าจริงด้วยเราปล่อยมันไปเถอะและเพื่อนบ้านก็มาพูดตำหนิผมสารพัด หาว่าขายชาติและเมื่อแม่ตายก็มาร่วมงานศพไม่ได้ แต่แม่ของผมก็กล่าวว่า พระเจ้าของมันจะเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะ แต่ฉันรู้ว่าพระเจ้าของมันดีมาก มันเลิกกินเหล้าและสูบบุหรี่ได้ และเป็นคนดีได้ฉันก็ดีใจและโล่งอกแล้ว และในภายหลังมีหลายคนได้มาเชื่อในพระเจ้า คือ แม่ของผม หลานของผม ยายของผม และพ่อของผมด้วย
มันเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ต่างหาก เป็นพระพร ไม่ใช่ภาระ และมีหลายคนที่ภรรยาเป็นคริสเตียนแต่สามีไม่เป็นภายหลังก็มารับเชื่อเพราะคำพยานชีวิตของภรรยา หรือ สามี และแม้ในเรื่องงานก็เป็นพระพร ไม่ใช่เป็นอุปสรรค เช่น มีพี่น้องคริสเตียนท่านหนึ่งเมื่อไปสมัครงานก็เขียนระบุว่าเป็นคริสเตียน แต่เพื่อนๆที่เป็นคริสเตียนก็ไม่กล้าเขียนบอกเพราะกลัวว่าจะถูกปฏิเสธ แต่เมื่อตอนเรียกสัมภาษ คนที่สัมภาษก็เลือกเอาคนที่เป็นคริสเตียนเพราะรู้ว่าสัตย์ซื่อและไว้วางใจได้ และ มีครั้งหนึ่งที่ผมมีประสบการณ์สมัครงาน เขาถามผมว่าคุณ มีคำพูดอะไรที่จะทำให้ผมพอใจรับคุณเข้าทำงาน ผมก็บอกว่านายจ้างก็ต้องอยากได้ลุกจ้างที่ขยันอดทน สัตย์ซื่อและรักความก้าวหน้าและทำผลกำไรให้กับบริษัท ผมพร้อมจะเป็นลูกจ้างแบบนี้ครับเพราะพระเจ้าสอนไว้ในพระคัมภีร์ว่า จงทำงานเหมือนทำถวายให้กับพระเจ้า
และเขาก็พูดกับผมว่า ผมไม่เคยได้ยินคำแบบนี้จากใครเลย คุณเป็นคริสเตียนหรือ ผมตอบว่าครับ และผมขออย่างเดียว คือ ผมขอหยุดวันอาทิตย์ไปโบสถ์นมัสการพระเจ้าครับ เขาก็ตกลง ดังนั้น อย่าเห็นว่าพระเยซูเป็นอุปสรรค แต่เป็นพระพร และความสุขต่างๆจะเข้ามา
และที่สำคัญที่สุด คือ ได้รับความรอดและชีวิตนิรันดร์ ไม่ต้องถูกพิพากษา และ พระเยซูใช้เราให้เป็นเกลือและความสว่างของพระองค์ ในบ้านที่และครอบครัวของเราและท่ามกลางเพื่อนๆในที่ทำงาน เช่น ชีวิตศักเคียส และ ชีวิตดาเนียล
//// อย่าให้พระเยซูเป็นอุปสรรค อย่าฟังเสียงของมาร คิดดีๆ

2. อย่าไปหามนุษย์ แต่จงมาหาพระเยซู Go to Jesus Not to other
คือ บางคนเชื่อพระเยซู ไปหาพระเยซูเพื่อนมัสการวันอาทิตย์ แต่แท้จริงแล้ว ไม่รู้ว่าเชื่อแบบไหน เชื่อจริงหรือเท็จ ไปหาพระเยซูเจ้า หรือ ไปหา ศิษยาภิบาลที่เทศนาเก่ง เลยติดกับตัวนักเทศ มีบางคนติดธุระไม่มาโบสถ์รีบโทรขออนุญาตจากศิษยาภิบาล บาง คนมาหาพระเยซูเพราะหลงใหลการอัศจรรย์ เช่น ยอห์น บทที่ 6 บางคนก็ติดตามเพราะได้กินขนมปังอิ่ม บางคนติดตามพระเยซูเหมือนยูดาส เพราะเงิน ดังนั้นถ้าเราอยากมีความสุข และรับความสุขจากพระเยซูต้องมาหาเรา คือ พระเยซู ไม่ใช่มาหาแฟน มาหาเพื่อน มาเพราะพ่อแม่เป็นคริสเตียน มาแต่ปากแต่ใจไม่มา เช่น ยายที่มาโบสถ์แต่ลืมเก็บพริกที่ตากไว้เมื่อ อ. เทศนาก็ทำเสียงไล่ชู่ๆๆๆๆเมื่อ อาจารย์เทศนาเสร็จก็ถามว่าทำไมทำเสียงแบบนั้นครับ ยายบอกว่าเมื่อเช้าลืมเก็บพริกเมื่อนึกถึงพริกก็นึกภาพว่านกมาจิกกินเลยทำเสียงไล่ชู่ๆๆๆๆๆคะ และ ผู้นำเพลงกับมอร์เตอร์ไซคันใหม่ เมื่ออาจารย์เทศนาเสร็จก็บอกขอบคุณพระเจ้าครับสำหรับพระพรคำเทศนา ขอให้เราเปิดหนังสือเพลงหน้าที่ 125 ซีซี คือนึกถึงมอเตอร์ไซด์คันใหม่ 125 CC
- บทเรียน ...... ที่เราม่มีความสุขในชีวิตคริสเตียนและยังเหน็ดเหนื่อยเพราะไม่ไม่ถึงพระเยซูหรือเปล่า บางคนบอกไปโบสถ์แต่ไปถึงแค่ห้างข้างโบสถ์ หรือร้านเกมส์ และบางคนไปแต่ตัวแต่ใจลอยไปหาใคร ลอยหาแฟน ลอยหางาน ลอยหาเงิน ลอยหาฟุตบอลทีมที่กำลังแข่งหรือเปล่า มีความสุขมีแน่นอน ถ้าเราไปถึงพระเยซู และมีการสามัคคีธรรม ติดสนิทกับพระองค์ ไม่ใช่ไปหาแค่วันอาทิตย์ แต่วันอื่นไปที่อื่น และไปหาแค่ในโบสถ์แต่นอกโบสถ์ไปหาใคร ดังนั้น เราต้องทำตามสิ่งที่พระเยซู เสนอและแนะนำเรา คือ อย่าเห็นพระเยซูเป็นอุปสรรค ในชีวิต
และ ต้องไปหาพระเยซู ไม่ใช่ ปากใกล้ใจห่าง และติดตามใคร หรือมนุษย์คนใด เช่น ชาวอิสราเอลที่ติดตามพระเจ้า เพราะโมเสส เมื่อโมเสสตายก็เลิกติดตามพระเจ้า บางคนติดตามพระเจ้าเพราะพ่อแม่ พอพ่อแม่ไม่อยู่ก็ทิ้งพระเจ้าจงดูตัวอย่าง ดาเนียล ติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริง แม้ไม่มีผู้นำ ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีใครก็ตามท่านยังสัตย์ซื่อติดตามรับใช้ท่านจึงมีความสุขตลอดชีวิต และโยเซฟ ท่านติดตามพระเจ้าแม้จากบ้านมาไกลเพราะพี่ๆขายเป็นทาสแต่ท่านรักและติดตามพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ และท่านได้รับการอวยพระพรจากพระเจ้าและเป็นถึงนายกของประเทศอียิปต์ และ นางรูธที่ติดตามพระเจ้าอย่างจริงจังและจริงใจ ติดตามรับใช้แม่ผัว คือ นางนาโอมี และพระเจ้าทรงประทานชีวิตที่เปี่ยมสุขและพระพรนานาประการสู่ชีวิตของเธอและสู่คนอื่นๆรอบข้างเธอด้วย

สรุป........ จงมารับความสุขจากพระเยซู และชีวิตของท่านจะเปี่ยมสุข เพียงแต่ท่าน อย่าเห็นว่าพระเยซูหรือการเชื่อในพระเยซูเป็นอุปสรรค ต่อชีวิตของท่าน เพราเป็นความคิดที่ผิดมากๆและเป็นความคิดที่มารซาตานกำลังล่อลวงท่านอยู่ จงทำลายความคิดนั้นและเปิดใจให้กับพระองค์ ........และท่านจะพูดอย่างนี้แน่นอนอนคือ รู้อย่างนี้เชื่อตั้งนานแล้ว จงทำลายกำแพงที่คุณจะรับความสุขและพระพรจากพระเยซู และจงมาหาพระเยซูไม่ใช่มนุษย์ หรือ ใครที่เรายึดติดอยู่ มาหาพระเยซูและมาให้ถึงพระองค์ และท่านจะหายเหนื่อยและเป็นสุข
- หายเหนื่อยจาก สิ่งอนิจังเหมือน ท่านซาโลมอน แม้เก่งที่สุด รวยที่สุด ฉลาดที่สุด แต่หาความสุขไม่ได้ เพราะในจิตใจไม่มีพระเจ้า และจิตใจเป็นตัวล่อลวง และเติมไม่เคยเต็มเหมือนทะเล น้ำไหลไปสู่ทะเลเท่าไรก็ไม่เต็มเหมือน ท่านซาโลมอนกล่าวไว้
- วันนี้ความสุขเป็นของท่าน........จงมารับเอาจากพระเยซูเถิด วันนี้และเดี๋ยวนี้

ขอพระเจ้าทรงอวยพระพร

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

,มุมนี้มีคำถาม และมีรางวัล Bible questions ?

คำถามและคำตอบนี้จะมีคะแนนบุคคลและรวมของคริสตจักรคุณเอง
1. ใครเอ่ยที่ชนะสิงแต่แพ้สาว .....รู้แล้วตอบเลย

2. ข้อพระคัมภีร์อะไรท่บอกว่าอย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนท่ขาดอยู่นั้น

3. พระคัมภีร์เดิมมีกี่เล่ม
ก.93 ข.39 ค. 72 ง.27 จ.66 รู้แล้วเลือกเลย

4. -ข้อพระคัมภีร์ข้อใดที่กล่าวว่า ถ้ารับด้วยปากและเชื่อด้วยใจท่านจะรอด

### ตอบทาง อ. สมชิต 0860287941 หรือsomchitbrid@hotmail.com somchitlove@gmail.com
ขอเชิญร่วมตอบคำถาม แข่งแบบบุคคล หรือ นามคริสตจักรก็ได้ทางสองทาง

ชีวิตคู่กินอยูด้วยความเข้าใจ

ชีวิตคู่...อยู่กินด้วยความเข้าใจ
โดย อ.ธวัช เย็นใจ

มีเรื่องเล่าว่า ชายคนหนึ่งชอบพกรูปของภรรยาไว้ในกระเป๋าสตางค์ หลายคนเห็นแล้วรู้สึกประทับใจว่า เขาเป็น Family Man และชอบควักเอารูปของเธอขึ้นมาดูบ่อยๆ วันหนึ่งก็มีคนถามว่า “คุณคงเป็นคนรักภรรยามากๆเลยนะ” “เมื่อใดก็ตามที่ผมเจอปัญหาหนัก” เขาตอบ “ผมก็จะเอารูปของภรรยาขึ้นมาดู และบอกกับตัวเองว่า จะมีปัญหาอะไรที่ใหญ่กว่านี้หรือ? ผมยังสามารถอดทนได้ แล้วปัญหาอื่นก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปทันที” “???!!”

พระคัมภีร์สอนสอนว่า “ฝ่ายสามีจงอยู่กินกับภรรยาด้วยความเข้าใจในเธอ จงให้เกียรติแก่ภรรยา เพราะเป็นเพศที่อ่อนแอกว่า และเพราะท่านทั้งสองได้รับชีวิตอันเป็นพระคุณเป็นมรดก เพื่อว่าคำอธิษฐานของท่านจะไม่มีอุปสรรคขัดขวาง” (๑ ปต. ๓.๗)

พระธรรมเอเฟซัสบทที่ ๕ ได้กล่าวว่า “สามีจงรักภรรยาของตนเหมือนพระคริสต์ทรงรักคริสตจักร ภรรยาจะต้องเชื่อฟังสามี เหมือนคริสตจักรเชื่อฟังพระคริสต์ และทั้งสามีกับภรรยาจะต้องยอมฟังซึ่งกันและกันด้วยความเคารพในพระคริสต์”

มีเคล็ดลับเล็กน้อยๆที่ช่วยทำให้ชีวิตคู่มีความสุข

หนึ่ง แตะเนื้อต้องตัว เป็นการแสดงความเอื้ออาทรต่อกัน การสัมผัส แตะต้องและกอดมีผลดีมากมาย ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า “เวลาที่คนเราสัมผัสกัน ร่างกายจะหลั่งสารออกซิโทซิน ซึ่งทำให้รู้สึกสงบนิ่ง การสัมผัสช่วยให้ร่างกายแนบชิดและรู้สึกใกล้ชิดกันจริงๆ”

สอง เอาใจใส่ดูแลกัน สามีภรรยาที่แสดงความเอื้ออาทรจนกลายเป็นนิสัย ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะในงานบ้าน ทำอาหาร งานสวน งานสำนักงาน โดยเฉพาะในเรื่องบนเตียงนอน เพศสัมพันธ์ควรจะมีการทะนุถนอม อดทน และสลับบทบาทกันบ้างจะช่วยให้มีชีวิตชีวา

สาม จงเป็นเหมือนเด็ก พระคัมภีร์ว่าหากใครอยากจะเข้าในสวรรค์ จะต้องถ่อมใจลงเหมือนเด็กๆ คือ ตั้งใจฟัง ไม่พูดแทรกอีกฝ่ายหนึ่ง ขอความช่วยเหลือ (ไหว้วาน) รู้จักกล่าวคำขอบคุณและขอโทษเมื่อทำผิดพลาดไป การถลึงตาใส่กันเมื่อไม่พอใจ หรือการเหยียบเท้าใต้โต๊ะ หรือการแอบหยิกเป็นสิ่งที่สามีภรรยาคริสเตียนไม่ควรทำอย่างยิ่ง

สี่ คำชมเชย จริงอยู่คำชมเชยเป็นเหมือนน้ำหอม สำหรับพรมนิดๆหน่อยๆเท่านั้น ถ้ากินเข้าไปก็จะตาย
แต่ก็มีความจำเป็นสำหรับชีวิตคู่ เป็นการสร้างขวัญกำลังใจ เช่นพูดว่า “เสื้อตัวนี้สวยดีนะ” แค่นี้ภรรยาจะยิ้มย่องผ่องใสไปทั้งวัน หรือชมว่า “วันนี้แต่งตัวหล่อ” สามีก็จะมีความสุขไปตลอดวัน ขอให้ตะหนักว่า เสียงชมเชยจากชาวบ้านไม่มีน้ำหนักเท่ากับเสียงชมของคนภายในบ้าน

ห้า เซอร์ไพรส สามีสามารถสร้างความประหลาดใจด้วยการชวนภรรยาไปกินข้าวที่ภัตตาคารหรูในมื้อเที่ยง หรือส่งอีเมลถึงด้วยถ้อยคำหวานๆและหนุนใจ ส่วนภรรยาก็จะสร้างความประหลาดใจให้แก่สามีได้ โดยพาไปซื้อเสื้อตัวที่เธอเคยหมายตาไว้

ขอบคุณพระเจ้าหวังใจว่าคงจะได้รับพระพร
ทีมงานไทยเซอร์มอน

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

มุมนี้ของอนุชน คนวัยใส

ตอนนี้อนุชนของเราก็กำลังเติบโตและพัฒนา ขอให้อนุชนแต่ละคริสตจักรก็ส่งเสียง
ส่งข่าว หากันและกันบ้างนะครับ และรักเรียน อย่าเป็นนักเลง และอย่าลืมไปรวมงานแต่งของลูกสาวหมอสมชายด้วยนะครับ และวันหนึ่งอาจเป็นคิวของเราก็ได้ บางคนเป็นม้ามืด บางคนเป็นม้าขาว( พระเอก)บางคนเป็นม้านั่ง แต่ก็ยังมีประโยชน์นะครับ ....... ไปละนะ ขอแซวแค่นี้ก่อน .......ปู๊ด......ไปเลยพี่

ชีวิตที่แตกต่างของพระเยซู พระเยซูคือใครในชีวิตของคุณ

เทศนา
- ชีวิตพระเยซู
- คำนำ ..... เมื่อพูดถึงชายที่ชื่อเยซูประวัติศาสตร์โลกต้องจารึกและปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงและชีวิตมีอิทธิพลต่อโลกและเป็นจุดแตกหักแตกแยกของกลุ่มความเชื่อในพระเจ้าไม่ว่าจะเป็นคาทอลิกจุดแยกคือพระเยซูที่ไม่ใช่พระผู้ช่วยให้รอด ส่วนอิสลามก็ไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระเจ้าแต่เป็นผู้เผยพระวจนะเท่านั้นและไม่ใช่เป็นพระเจ้าและไม่ใช่อิมมานูเอลและไม่ใช่เกิดจากหญิงสาวพรหมจารี
และการตายของพระเยซูเพราะทำผิดกฏศาสนาเพราะอ้างว่าตนเองเป็นพระเจ้าและแม้กลุ่มของคริสเตียนเองก็แตกแยกและมีการตั้งเป็นลัทธิเทียมเท็จเพราะพระเยซู เช่น โมมอนเชื่อว่าพระเยซูเป็นมนุษย์ที่พระวิญญาณมาสวมทับและวิญญาณออกเมื่อตายและไม่ฟื้นขึ้นทำงานไม่สำเร็จเลยมอบงานให้โยเซฟสมิธประกาศต่อและกลุ่มพยานพระเยโฮวาห์ก็เชื่อว่าพระเยซูเป็นเพียงทูตสวรรค์ไม่ใช่เป็นพระเจ้าเพราะพระเจ้ามีองค์เดียวคือพระเยโฮวาห์และพระเยซูไม่รู้ทุกสิ่งเหมือนพระเจ้า ส่วนคริสตจักรของพระคริสต์เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าแต่ไม่ใช่พระเจ้าเช่นกษัตริย์กับลูกของกษัตริย์ไม่เหมือนกันและกลุ่มลัทธิมูนก็เชื่อว่าพระเยซูเป็นเพียงผู้รับใช้และมอบงานให้กับมูนและก้มกราบนมัสการตัวของมูนด้วย ..... พระเยซูเป็นใครทำไมมีบทบาทและอิทธิพลมากมาย......แม้ในสมัยของพระเยซูเองพระองค์ก็ทรงถามสาวกว่า เราเป็นใคร และประชาชนคิดว่าเราเป็นใคร ( มธ 16.13-17) /// พระเยซูเป็นใคร เป็นเพียงช่างไม้จริงหรือ
/// ถ้าเป็นเพียงมนุษย์หรือช่างไม้คนหนึ่งทำไมชีวิตพระเยซูจึงแตกต่าง
- ชีวิตของพระเยซูแตกต่างจากโลกอย่างไร
- เรื่อง ..... ชีวิตที่แตกต่างของพระเยซูคริสต์ ( ไม่มีใครเหมือนและร่วมกับความเชื่ออื่นๆในโลกไม่ได้เลย)
/// เพราะมีบางคนมักจะพูดว่าพระเยซูก็เหมือนกับศาสนาอื่นๆ คือ สอนให้คนทำดีเหมือนกัน
/// เมื่อเราสำรวจดูแล้วชีวิตของพระเยซูแตกต่างราวฟ้ากับดิน
/// ชีวิตของพระเยซูแตกต่างอย่างไร
ชีวิตพระเยซูแตกต่างในเรื่องชาติกำเนิด,ถิ่นกำเนิด,ต้นตอกำเนิด,ที่มาทีไปแตกต่าง(จุดเริ่ม)
- เพราะพระเยซูดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่ง,เพราะเป็นผู้สร้างและควบคุมทุกสิ่ง
( ยน1.1-3 และอยู่อับราฮัมเกิด 8.581ยน.1.1-3 คส. 1.15-17 กจ.17. 24-26)
/// ไม่มีใครในโลกนี้มีชีวิตอยู่ก่อนพระเยซู ( โยบ 38.4 วว.1.8 22.13)
- เพราะพระเยซูเกิดจากพระเจ้า หรือพระองค์เองไม่ใช่จากพ่อแม่หรือมนุษย์
( มธ.1.23 ลก. 1.34-35) จึงไม่มีบาปติดตัว หรือธรรมชาติบาป (โรม 3.23)
/// ไม่มีใครในโลกนี้มีชาติกำเนิดเหมือนพระเยซู แม้อาดัมเอวา เพราะพวกเขาเกิดจาก
ดินและกระดูก แต่พระเยซูทรงเกิดจากพระวิญญาณ หรือ พระเจ้า
/// ประยุกต์ใช้ ..... เราต้องขอบคุณพระเจ้าที่เป็นพระเจ้าที่แตกต่าง คือ ชาติกำเนิดจึงไม่มีบาป
ไม่อ่อนแอเหมือนมนุษย์ในโลกนี้ ไม่ผิดพลาด ไม่บกพร่อง
...... เราต้องภูมิใจ,และเข้าใจถึงพระเจ้าหรือพระเยซูที่เราเชื่อสูงส่งเพียงใด
..... เราอย่าอายพระเจ้าของเรา แต่ให้อวดและยกย่องพระองค์
ชีวิตพระเยซูแตกต่างในเรื่องคำสอน (จุดร่วม)
- เพราะมีหลายคนมักพูดเสมอว่าคำสอนของพระเยซูเหมือนกับทุกๆศาสนา
- ไม่เป็นความจริงเลย เพราะพระเยซูตรงข้ามและขัดแย้ง สวนทาง ไม่อะลุ่มอล่วย
เช่น พระเยซูสอนว่าทุกคนเป็นคนบาป ยน. 8.1-11 ลก18.19
พระเยซูสอนว่าทุกคนรอดได้ทางเดียวคือทางพระเยซูตายที่กางเขน ยน.14. 6 3.14
พระเยซูสอนว่าพระองค์เป็นความสว่างของโลก ยน.8.12
พระเยซูสอนว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ยน.8.58 18.6,8 20.28 มธ.26.63-64
พระเยซูสอนว่าพระองค์ คือ ผู้พิพากษาโลกนี้ ยน.5.22 มธ.25.
/// แต่โลกนี้สอนว่า ไม่มีพระเจ้า บางคนเป็นคนบาปมากน้อย บางคนสอนไปสวรรค์
โดยการทำดี,ทำบุญ , มีทางไปสวรรค์หลายทาง,แต่ต้องไม่มีบาปเลย
สอนว่ามีการชดใช้เวรกรรม และการกลับชาติมาเกิดใหม่ เวียนว่ายตายเกิด
สอนว่าไปไม่กลับหลับไม่ตื่นฟื้นไม่มีหนีไม่พ้น
/// และในโลกนี้ไม่มีใครสัญญาและรับรองได้ร้อยเปอร์เซ็นว่าไปสวรรค์ ลก.23.40-41

/// ประยุกต์ใช้ .....เราลองคิดและตรวจเช็คคำสอนของพระเยซูจริงหรือเท็จ
- เรื่องความรอด,และเรื่องอื่นๆ ไม่มีใครจับผิดหรือโต้แย้งได้เลย
ชีวิของพระเยซูแตกต่างในเรื่องชีวิตที่บริสุทธ์ ( 1 ปต. 2.22 ฮบ.4.15) (จุดจบ)
- เพราะมนุษย์ในโลกเกิดมามีบาป ทำบาป แต่พระเยซูไม่มีบาป ไม่ทำบาป ( 1ยน 3.5
/// เพราะทุกคนเป็นคนบาป เป็นหนี้ มีหนี้ เป็นทาส จึงช่วยใครไม่ได้แม้ตัวเอง
- เพราะมนุษย์ทุกคนในโลก หนีความตายไม่ได้ ชนะความตายไม่ได้ สิ้นสุดที่ความตาย
/// แต่พระเยซูหนีได้ ชนะได้ และช่วยคนอื่นไม่ต้องตายก็ได้
/// ประยุกต์ใช้ ...... เราลองเอาผู้นำ นักปราชญ์ ผู้นำศาสนามาเปรียบกับพระเยซูไม่ได้เลย
- แม้ด้านชีวิตและความชอบธรรม
- แม้ด้านความรู้ หรือสติปัญญา 1คร. 1.25 ความเขลาของพระเจ้าก็ยังฉลาดกว่า
สรุป....... เราเห็นภาพความแตกต่างอย่างชัดเจนของพระเยซูกับผู้นำศาสนาของโลกนี้
1. เพราะชาติกำเนิด (จุดเริ่ม)
2. เพราะคำสอน (จุดร่วม)
3. เพราะชีวิตทุกด้าน.... (จุดจบ) ความบริสุทธิ์,ชอบธรรม,สติปัญญา,ให้ประโยชน์กับสังคม
........ ตอนนี้พระเยซูทรงเป็นใคร เป็นอะไรในชีวิตของเรา
....... ตอนนี้ชีวิตของเราแตกต่างจากโลกนี้หรือไม่ หรือ ไม่มีอะไรต่างเลยแม้เรื่องชีวิตหลังตาย
/// เปาโลท้าทายให้เราปฏิบัติตามอย่างพระเยซู 1. คร. 11.1 อฟ.5.1-2
/// อย่าให้พระเยซูเป็นแค่ช่างไม้ หรือกษัตริย์ไร้บัลลังก์ และคำสอนเป็นแค่เครื่องประดับ
แต่ขอให้พระเยซูเป็นผู้นำ,เป็นครู,เป็นกษัตริย์,เป็นพระเจ้า,เป็นสหายเลิศ
/// จงยอมให้ชีวิตของเราแตกต่างจากโลกนี้ หรือ คริสเตียนคนอื่นๆที่ไม่ยอมแตกต่าง
- คริสเตียนที่ไม่สนใจการมานมัสการ,ไม่เป็นพยาน,กินเหล้า,เล่นหวย,รักโลก
- วันนี้พระเยซูคาดหวังว่าเราจะมีชีวิตที่แตกต่างเหมือนพระองค์
แล้วเราจะเป็นพระพรแก่ทุกคนในโลกนี้ตลอดไป
และพระเจ้าจะทรงได้รับเกียรติเหมือนชีวิตพระเยซู
/// เราเริ่มต้นที่ดีแต่เราจบอย่างไร....เหมือนชาวกาลาเทียเริ่มต้นด้วยวิญญาณแต่จบลงเนื้อหนัง

จดหมายข่าวจากทับเวย์ฉบับบที่ 4

จดหมายข่าวมิชชั่นTABWE
( จดหมายฉบับที่4 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2009)
TABWE มียอดเงินสนับสนุนคริสตจักรส่งมิชชันนารีไปยังประเทศเพื่อบ้าน ในเดือนมกราคม 2009
เป็นเงินทั้งสิ้นที่มีอยู่เดิม 122326.17บ.(เหลือ116326.17ช่วยอ.ไพรัตน์ไปประชุมAPMC ที่มาเลเซีย6000 บาทย้อนหลังเมื่อปลายเดือนตุลาคมเป็นตัวแทนของกลุ่มทับเวย์ )
รายงานงานมิชชั่นของคริสตจักรต่างๆ มกราคม-มีนาคม 2009 คริสตจักรปางศิลาทองได้จัดประชุมมิชชั่นวัน อาทิตย์ที่ 4 ,11,18,25, ม.ค.2009ค.จ ห้วยปูแกงวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ 2009
ค.จ สกลนคร,ค.จ หนองคายจะจัดประชุมมิชชั่นวันอาทิตย์ที่ 22 ก.พ. 2009 ค.จ สันติสุขร่วมกับ ค.จ สว่างแดนดิน จะจัดประชุมมิชชั่นปลายมีนาคม ศุกร์-อาทิตย์ วิทยากรยังไม่แน่ ขอโปรดอธิษฐานเผื่อคริสตจักรต่างๆข้างต้น
แนวทางของ TABWE ในการสนับสนุนคริสตจักรเกี่ยวกับเรื่องมิชชั่น คือ
/ TABWE จะเป็นผู้ช่วยสนับสนุนและประสานงานและจัดข้อมูลต่างๆที่เป็นแนวทางในการ
ดำเนินงานมิชชั่น และส่งมิชชันนารี
/ TABWE จะช่วยให้ข้อแนะนำแนวทางต่างๆเกี่ยวกับการจัดประจำวางแผนงานมิชชั่นในเดือน
แห่งพันธกิจมิชชั่น ตลอดจนการให้คำปรึกษาต่างๆ
/ TABWE ได้จัดแบ่งการประสานงานตามกลุ่มภาคต่างๆมีดังนี้
1. อ. ไพรัตน์ ประสิทธิ์นอก ประสานงานคริสตจักรกรุงเทพและปริมณทล
2. อ. สุนทร คำมา ประสานงานทางคริสตจักรภาคเหนือ
3. อ. พรศักดิ์ สุขะจินตนากาญจน์ ประสานงานทางภาคอีสาน
4. อ. สมชิต แจ้งไพร ประสานงาน ภาคตะวันออก ตะวันตก และภาคใต้
4.คำหนุนใจ ชีวิตที่ยอมต่อพระเจ้า ( ยอมเพราะรัก)
เมื่อจะพูดถึงประวัติมิชชันนารีที่ยิ่งใหญ่ในประเทศจีน เราคงอดที่จะพูดถึงฮัดสันเทเลอร์ไม่ได้เพราะท่านเป็นบุคคลที่เป็น สุดยอดของผู้นำที่ยอมจำนนต่อพระเจ้า ยอมให้พระเจ้าทรงใช้ ยอมให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่งของชีวิต
ยอมละทิ้งคนรักและบ้านเกิดเมืองนอนทิ้งความสดวกสบายและยอมที่จะเป็นเหมือนพวกเขา คือ ปรับตัวเข้ากับพี่น้องคนจีนรับธรรมเนียมและวัฒนธรรมแม้เรื่องอาหาร การแต่งตัว และทรงผม ( เหมือนยอมเป็นคนทุกชนิด 1คร9.) ให้เรามาดูชีวิตของท่านฮัดสันเทเลอร์ เกิดในครอบครัวที่รักพระเจ้ามากแต่ยากจนและสุขภาพก็ไม่ดีและท่านได้เกิดภาระใจที่จะเป็นมิชชันนารีเมื่อวัยเด็กเมื่อได้ยินพ่อแม่คุยกันที่โต๊ะอาหารเรื่องประเทศจีน และเมื่อท่านมั่นใจว่าพระเจ้าทรงเรียกให้ไปประเทศจีน ท่านได้เตรียมตัว และเตรียมใจ เตรียมชีวิต โดยการอธิษฐานอย่างจริงจัง โดยการศึกษาพระคัมภีร์ และฝึกทำงานกับคลินิกเพื่อจะมีประสบการณ์เพื่อพระเจ้าจะใช้ในอนาคต และท่านฝึกทนความยากลำบาก คือ กินอาหารวันละสองมื้อและฝึกนอนบนที่นอนแข็งๆและอยู่อย่างง่ายๆและออกประกาศทำงานกับคนยากจนใจสลัม และพระเจ้าเองทรงเตรียมชีวิตของท่านในเรื่องความเชื่อ เพราะหลายครั้งที่เจ้านายก็ลืมจ่ายเงินเดือนและทำให้เขาใจหายใจคว้ำม และในที่สุดก็มีการทดลองครั้งยิ่งใหญ่ คือ แฟนคนที่เขารักมาก
ปฏิเสธิที่จะร่วมชีวิตถ้าฮัดสันไปรับใช้ที่ประเทศจีน แต่ฮัดสันเลือกพระเจ้าและเชื่อว่าพระเจ้าจะช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง ท่านจึงตัดสินใจไปประเทศประเทศจีน และเมื่อท่านไปที่จีนท่านก็ต้องขอบคุณพระเจ้าที่เตีรยมท่านอย่างดีเพราะท่านได้เผชิญกับสงครามกลางเมือง และการอดอาหาร การกินอยู่ก็ลำบากแสนสาหัดและสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้จากคลินิกก็ช่วยให้ท่านทำงานท่ามกลางคนเจ็บป่วยได้เป็นอย่างดี ท่านรักคนจีนอย่างสุดใจ และยอมเป็นเหมือนคนจีนทุกอย่าง พูดภาษาจีน กินเหมือนชาวจีน แต่งตัวเหมือนชาวจีนแม้ทรงผมของท่านก็โกนครึ่งหัวและถักเปีย พระเจ้าได้ใช้ท่านให้ประกาศหว่านและเก็บเกี่ยวจิตวิญญาณของคนจีน และภายหลังท่านได้ภรรยาที่เป็นคนอังกฤษสวยกว่าดีกว่าแฟนเก่าและรักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจและรักคนจีนเหมือนกับท่าน ซึ่งต่างจากแฟนเก่าอย่างสิ้นเชิง และพระเจ้าทรงใช้ท่านให้ตั้งองค์การหนึ่ง คือ โอเอ็มเอฟ OMF คือ เน้นการประกาศข่าวประเสริฐและสร้างผู้รับใช้และงานของท่านได้เติบโตอย่างมากในประเทศจีนปัจจุบันนี้และในประเทศไทยที่เรารู้จัก คือ พระคริสตธรรมพเยาว์ พี่น้องที่รักท่านเป็นคนหนึ่งที่พระเจ้ากำลังเตรียมให้รับใช้เหมือนฮัดสันเทเลอร์ จงยอมต่อพระเจ้า จงฟังพระองค์ จงให้พระองค์เป็นที่หนึ่งในชีวิต และยอมเป็นคนทุกชนิดเหมือนคำกล่าวของเปาโล คุณก็สามารถทำได้เดี่ยวนี้ จงยอมให้พระเจ้าเตรียมและใช้ชีวิตของเราเถิด

### หมายเหตุ เมื่อพี่น้องได้ถวายเงินเข้าบัญชีของทับเวย์ขอท่านโปรดกรุณาโทร แจ้งให้ อ.สุนทรทราบด้วย0870999817
ชื่อบัญชี ( ออมทรัพย์ หรือ สะสมทรัพย์) ธนาคาร กรุงเทพ สาขา ตลาดสี่มุมเมือง
นาย ไพรัตน์ ประสิทธิ์นอก และ นาย สมชิต แจ้งไพร เลขที่บัญชี 237-2-07025-6

วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

มุมนี้มีเฮ คำถามคาใจ ถามได้ตอบดีมีรางวัล

ใครเอ่ย เป็นคนพูด ข้าแต่พระ.....ขอทรงโปรดรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย .....ตอบหน่อย



เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือ ข้อพระคัมภีร์อะไร ....ตอบด้วย


ใครเป็นคนเขียนพระคัมภีร์ปฐมกาล อพยพ เลวีนิติ กันดารวิถี เฉลยธรรมบัญญัติ .....รู้แล้วตอบเลย

ส่งมาทาง เมล somchitbrid@hotmail.com somchitlove@gmail.com โทร 0860287941
มีรางวัล........ แต่ห้ามถามพ่อและแม่ ต้องหาเองตอบเอง

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สารอธิษฐาน

ขอพี่น้องโปรดช่วยอธิษฐาน เพื่อค่ายอนุชน 16-18 มีนาคม ค่ายพัทยา 4-7 พฤษภาคม และ งานมิชชั่นโรงเรียนพระคริสตธรรมและประชุมรวมคริสตจักรวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 09 และในวันที่ 30-มีนาคมถึงวันที่ 10 เมษายน 09 จะมีทีมแพทย์มารักษาและเรามีโอกาสเป็นพยาน ที่ จ. นครราชสีมา บ้านคุณวิชิต กลางพิมาย และ ที่เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เราทำงานกันหนักและเหนื่อแน่นอน จงช่วยกันอธิษฐานและมีส่วนในการรับใช้ ยากอบ 5:16 คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมมีพลังทำให้เกิดผล ขอพระเจ้าทรงอวยพระพร

ข่าวถึงพี่น้องในกลุ่มแบ๊บติสต์ร่มพระคุณ

ข้าพเจ้า อ. สมชิต ขอความร่วมมือจากพี่น้องแต่ละคริสตจักร ถ้าท่านมีรูปภาพของคริสตจักรท่านและมีหัวข้ออธิษฐาน หรือ บทความ คำเทศนาแต่ละอาทิตย์ หรือ มีข่าวอะไรจะแจ้งประกาศผ่านเวบไซด์ เรายินดีจะเป็นซื่อกลาง และทางกลุ่มอนุชน อยากรู้จักกันมากขึ้น หรือ อยากมีกิจกรรมดีๆก็จะให้อนุชนจัดทำมุมของอนุชนเอง หรือ มีอะไรแนะนนำก็นำเข้ามา หรือ ใครเก่งคอมและทำเวบ ก็โดดหรือกระโจนเข้ามาช่วยได้เลย ติดต่อ อ. สมชิต ได้ตลอดเวลา ขอพระเจ้นทรงอวยพระพร

บทความเรื่องความรักแต่มีขำ

มีลุงกับป้าคู่หนึ่งเวลาเดินไปโบสถ์หลายคนจะเห็นท่านทั้งสองเดินจับมือกันตลอด และในทางเข้าโบสถ์เต็มไปด้วยบาร์อาบอบนวดและสถานเริงรมณ์มากมาย พอถึงวันแห่งความรักศิษยาภิบาลก็เทศนาและยกตัวอย่างความรักหวานชื่นของลุงกับป้าคู่นี้ จนมาถึงคำถามคาใจว่าท่านมีเคล็ดลับอะไรจึงรักกันและเดินจับมือกันอย่างหวานชื่น คุณป้ารีบลุงขึ้นตอบอย่างเต็มปากเต็มคำว่า อาจารย์ที่ดิฉันจับมือตาลุงนี่ทุกครั้งเมื่อเดินเข้ามาที่โบสถ์ไม่ใช่รักหรือพิศวาทอะไรหรอกคะแต่ดิฉันไม่ไว้ใจไอ้ตาแก่นี่ก็เลยต้องจับมือมันไว้ไม่ให้หลุด จนกว่าจึงเข้าโบสถ์........ เพราะว่าเผลอเป็นแผลงฤทธิ์เลยคะ

ค่ายพัทยา

ขอพี่น้องในกลุ่มสามัคคีธรรมแบ๊บติสต์ร่มพระคุณ ทราบเรื่องค่ายพัทยา วันที่ 4-7 พฤษภาคม 09 และวิทยากร คือ อ.ลูมิลัง ค่าค่ายห้องพักรวม 600 บาท เตรียมเก็บเงินได้แล้วหยอดกระปุกและทุกข์จะไม่มี เราได้เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมตั้งหัวข้อค่ายรีบส่งให้พี่อรอนงค์คงกระพันด้วย แนวหัวข้อเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของทุกคนในคริสตจักร ( 1โครินธิ์ 12 เอเฟซัส 4 ) ลองทำดูแล้วรีบส่งหมดเขต 29 มีนาคม รางวัลเข้าค่ายฟรี และคนที่ไม่ไปค่ายแต่ชนะได้ของรางวัลราคาเท่ากับลงทะเบียนค่าค่าย หนึ่งคนส่งได้หนึ่งหัวข้อ
มีอะไรสงสัย ติดต่อ อ.สมชิต สุดหล่อ หรือ หล่อสุดๆก็ได้ และเปิดรับสมัครอาสาสมัครใครที่อยากช่วยรับใช้ในค่ายก็เสนอตัวเข้ามาเลย และมีอะไรที่อยากจะแนะนำ ก็ส่งมาได้ครับ อ.สมชิต

ค่ายอนุชน

อีกไม่กี่วันแล้วนะครับจะถึงค่ายอนุชนในกลุ่มสามัคคีธรรมแบ๊บติสต์ร่มพระคุณ สิ่งที่ต้องเตรียม คือ เงินลงทะเบียน งดกินโค้กแป๊บซี่สักอาทิตย์ละสองวันก็เกือบได้เงินเข้าค่ายแล้ว เวลาไปโรงเรียนก็ตื่นแต่เช้าคอยรถเมย์ฟรีก็ประหยัดได้อีกและหยอดกระปุกเศษเหรียญ สะสมเก็บเล็กผสมน้อย จะได้ไม่ต้องรบกวนพ่อแม่ และจะภูมิใจด้วย ลองทำดูเด้อครับเด้อ และ ลองตรวจเช็คดูวันที่จะเข้าค่าย 16-18 มีนาคม 09 กลัวว่าจะติดเรียน ติดสอบเลยไม่สามารถไปค่ายได้ และแจ้งให้พี่ๆเจ้าหน้าท่ค่ายและผู้นำอนุชนทราบด้วยนะ จะได้เตรียมและย้ายวันได้ทันเพราะถ้าส่วนใหญ่ไปไม่ได้ ต้นไม่ใบหญ้าก็จะไปนั่งฟังแทน และฝากผู้นำอนุชนเช็คด้วย

ลืมบอกรักใครหรือปล่าว

วันวาเลนไทน์ เห็นหนุมสาวบอกรักกัน ส่งดอกไม้ให้กัน บอกรักอย่างหวานซึ้งจนมด เห็นแล้วนำลายไหลและ แต่ยังมีคนที่สำคัญมากที่เราไม่ได้บอกรัก คือ ใครหนอ ลองทายซิ ....... คนนั้น คือ พ่อกับแม่ของเราไง
ในวันวาเลนไทน์ ท่านก็ต้องการให้ลูกๆบอกรักเหมือนกัน ..... จงบอกรักท่านเถิดง่ายนิดเดียว โทรเลย ท่านคอยอยู่ เดี๋ยวจะหมดโอกาสบอกรักไม่รู้ด้วยน่า เพราะถ้าพระเยซูเสด็จมาวันนี้ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ในพระเจ้ายังมีพระพรและสิ่งที่ดีๆเสมอ

เยเรมีย์ได้เขียนในบทเพลงครำครวญเพื่อหนุนใจและท้าทายให้อิสราเอลที่สิ้นหวังหมดหวังอับจนหนทางไร้ที่พึ่งพิงและขาดทิศทางของชีวิต ท่านชี้ให้มองที่พระเจ้าให้มอบไว้กับพระเจ้าอย่าหลงเจิ่นหรือหลงจากพระเจ้าอีก ในบที่ 3 ท่านนำอิสราเอลให้เห็นพระพรและสิ่งดีๆจากพระเจ้า
ข้าพเจ้าจึงว่า "ศักดิ์ศรีของข้าพเจ้า สูญไปแล้ว และความหวังในพระเจ้าก็ดับหมด" 19ขอทรงจำความทุกข์ใจและความถูกบีบคั้นของข้าพเจ้า อันเป็นบอระเพ็ดและดีหมี 20จิตวิญญาณของข้าพเจ้ายังนึกถึงเนืองๆ และต้องค้อมลงภายในตัวข้าพเจ้า 21ข้าพเจ้าหวนคิดขึ้นมาได้ ข้าพเจ้ามีความหวังขึ้นเมื่อคิดได้ว่า 22ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยหยุดยั้ง และพระเมตตาของพระเจ้าไม่มีสิ้นสุด 23เป็นของใหม่อยู่ทุกเวลาเช้า ความเที่ยงตรงของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก มีสามสิ่งที่ในพระเจ้ายังมีให้กับผู้ที่แสวงหาพระองค์
1.ในพระเจ้ายังมีความหวัง ข.21
2. ในพระเจ้ายังมีความรักเมตตา ข.22-23
3. ในพระเจ้ายังมีความรอด ข.26
แต่พระพรเหล่านี้จะเป็นของอิสราเอลถ้าเขายอมทำตามคำแนะนำของเยเรมีย์ 4ส
สำรวจ คือ สำรวจตรวจตราชีวิตการกระทำของตนและต้นสายปลายเหตุของปัญหา คือ บาป
( 3:39-42) สำรวจ สำนึก สารภาพ แสวงหา
มนุษย์เป็นๆจะไปบ่นเอากับใคร คือมนุษย์ที่ถูกทำโทษเพราะบาปของตน 40ให้พวกเราทดสอบและพิจารณาวิถีของพวกเรา และกลับมาหาพระเจ้าเถิด 41ให้พวกเรายกจิตใจและมือของพวกเราขึ้น ต่อพระเจ้าในฟ้าสวรรค์ทูลว่า 42"พวกข้าพระองค์ได้ทรยศและได้กบฏแล้ว และพระองค์ยังไม่ได้ทรงอภัยโทษ"

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

แจ้งจดหมายข่าวทับเวย์ Tabwe

จดหมายข่าวมิชชั่นTABWE
( จดหมายฉบับที่3 ประจำเดือนมกราคม 2009)
1. TABWE มียอดเงินสนับสนุนคริสตจักรส่งมิชชันนารีไปยังประเทศเพื่อบ้าน ในเดือนมกราคม 2009
เป็นเงินทั้งสิ้นที่มีอยู่ 122326.17บ.(แจ้ง ยอดเงินของเดือนพฤศจิกายนผิดเพราะเกินไป หนึ่งหมื่นบาท )
2. รายงานงานมิชชั่นของคริสตจักรต่างๆ มกราคม-มีนาคม 2009 คริสตจักรปางศิลาทองได้จัดประชุมมิชชั่นวัน อาทิตย์ที่ 4 ,11,18,25, ม.ค.2009ค.จ ห้วยปูแกงวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ 2009
ค.จ สกลนคร,ค.จ หนองคายจะจัดประชุมมิชชั่นวันอาทิตย์ที่ 22 ก.พ. 2009 ค.จ สันติสุขร่วมกับ ค.จ สว่างแดนดิน จะจัดประชุมมิชชั่นปลายมีนาคม ศุกร์-อาทิตย์ วิทยากร คือ อ.นิกร ขอโปรดอธิษฐานเผื่อคริสตจักรต่างๆข้างต้น
3. แนวทางของ TABWE ในการสนับสนุนคริสตจักรเกี่ยวกับเรื่องมิชชั่น คือ
/ TABWE จะเป็นผู้ช่วยสนับสนุนและประสานงานและจัดข้อมูลต่างๆที่เป็นแนวทางในการ
ดำเนินงานมิชชั่น และส่งมิชชันนารี
/ TABWE จะช่วยให้ข้อแนะนำแนวทางต่างๆเกี่ยวกับการจัดประจำวางแผนงานมิชชั่นในเดือน
แห่งพันธกิจมิชชั่น ตลอดจนการให้คำปรึกษาต่างๆ
/ TABWE ได้จัดแบ่งการประสานงานตามกลุ่มภาคต่างๆมีดังนี้
1. อ. ไพรัตน์ ประสิทธิ์นอก ประสานงานคริสตจักรกรุงเทพและปริมณทล
2. อ. สุนทร คำมา ประสานงานทางคริสตจักรภาคเหนือ
3. อ. พรศักดิ์ สุขะจินตนากาญจน์ ประสานงานทางภาคอีสาน
4. อ. สมชิต แจ้งไพร ประสานงาน ภาคตะวันออก ตะวันตก และภาคใต้
4.คำหนุนใจ
คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องชีวิตของวิลเลี่ยมแครรี่ ท่านเป็นมิชชันนารีที่ยิ่งใหญ่แห่งประเทศอินเดีย ให้เราลองมาดูว่าพระเจ้าทรงเตรียมท่านและใช้ท่านอย่างไรบ้าง เขาเริ่มต้นจากความรักในงานประกาศและเป็นห่วงจิตวิญญาณของคนบาปที่หลงหายและท่านได้ฟังคำพยานของมิชชันนารีที่เล่าให้ฟังถึงชีวิตที่พระเจ้าได้นำให้คนบาปกลับใจท่านได้เริ่มต้นอธิษฐานต่อพระเจ้าทุกๆวันและยอมถวายตัวเป็นมิชชันนารีและเตรียมตัวโดยการเรียนภาษากรีกเบื้องต้นและท่านได้มองดูแผนที่โลกที่ติดไว้ที่ร้านซ่อมรองเท้าของท่าน เมื่อใครๆเห็นก็พากันหัวเราะเยาะและหาว่าเพ้อฝันและไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ท่านไม่ลดละความพยายามและความตั้งใจจริง และท่านได้เสนอภาระใจแก่คริสตจักรและมีคนพูดว่าเอาภาระใจของคุณกองไว้ตรงนั้นแหละถ้าพระเจ้าจะช่วยคนอินเดียให้รอดพระองค์ก็จะจัดเตรียมคนอินเดียให้ประกาศไม่ใช่คุณแน่ แต่คำพูดเหล่านั้นกลับเป็นแรงพลักดันให้ท่านกลับยิ่งกระหายอยากไปเป็นมิชชันนารี ท่านมีปนิธานเป็นอุดมการณ์ในความคิดและทัศนคติต่อพระเจ้าว่า จงคิดสิ่งใหญ่ๆหวังสิ่งใหญๆเพื่อจะได้รับสิ่งที่ยิ่งใหญ่จากพระเจ้า และในที่สุดคริสตจักรก็ได้ตัดสินใจส่งเขาไปเป็นมิชนารีที่อินเดียพร้อมกับครอบครัวของท่านและใช้เวลาห้าเดือนในการเดินทางโดยเรือและท่านได้พบกับพายุอย่างรุ่นแรงจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่กลับทำให้ท่านเข้มแข็งในความเชื่อต่อพระเจ้าของท่านผู้ทรงยิ่งใหญ่ และเมื่อท่านได้มาถึงอินเดียงานรับใช้ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คาดหวัง แต่ท่านอดทนประกาศและทำงานในโรงงานเพื่อจะเรียนภาษาจากคนงานด้วยกันและภรรยาของท่านก็เสียสติเป็นคนบ้าและท่านใช้เวลาในการแปลพระคัมภีร์ในเวลากลางคืนตลอดเจ็ดปีไม่มีใครรับเชื่อเลย และในที่สุดท่านก็ใช้เวลาในการแปลพระคัมภีร์จนสำเร็จเป็นสามภาษา คือ แบงกาลี สันสกฤต และมาราธี และต้องแก้ไขปรับปรุงหลายต่อหลายครั้ง และต่อมาได้มีคนได้กลับใจมาเชื่อคนแรกและทำให้ท่านมีกำลังใจมาก และพระเจ้าได้นำท่านก่อตั้งมหาลัยพระคัมภีร์ ชื่อเซแรมโปร์ เพื่อสร้างผู้รับใช้และมิชชันนารีส่งออกไปประกาศข่าวประเสริฐ และท่านได้รับเกียรติจากชาวอินเดียให้เป็นศาสตราจาย์ช่วยสอนในมหาวิทยาลัยของอินเดีย และพระเจ้ายังใช้ชีวิตของท่านให้เกิดผลอย่างมากมายในอินเดีย จากช่างซ่อมรองเท้ากลายมาเป็นเพชรเม็ดงามของพระเจ้า ดังนั้นปัจจุบันนี้พระเจ้าจะทรงเรียกคุณเหมือนวิลเลี่ยมแครรี่เพียงเราฟังเสียงและพระมหาบัญชาและยอมถวายตัวให้พระองค์ใช้ จงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อพระเจ้าเถิด จงให้หูตาฝ่ายวิญญาณมองไกลๆ
และก้าวออกไปตามน้ำพระทัย มีหลายดวงวิญญาณที่รอเราอยู่ พระเจ้าต้องการใช้คุณวันนี้และเดี๋ยวนี้

### หมายเหตุ เมื่อพี่น้องได้ถวายเงินเข้าบัญชีของทับเวย์ขอท่านโปรดกรุณาโทร แจ้งให้ อ.สุนทรทราบด้วย0870999817

###เลขที่บัญชี ชื่อบัญชี ( ออมทรัพย์ หรือ สะสมทรัพย์) ธนาคาร กรุงเทพ สาขา ตลาดสี่มุมเมือง
นาย ไพรัตน์ ประสิทธิ์นอก และ นาย สมชิต แจ้งไพร เลขที่บัญชี 237-2-07025-6









เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
พวกเราเป็นกลุ่มคริสตจักรท่มีความเชื่อตามหลักของพระคัมภีร์อย่างเคร่งครัด เราเชื่อว่า เรารอดโดยพระคุณพระเจ้า และเชื่อในตรีเอกานุภาพ และพระคัมภีร์66เล่มเป็นการดลใจจากพระเจ้าและไม่มีความผิดพลาดของต้นฉบับ และพระวจนะของพระเจ้าเป็นแหล่งชีวิตและความจริง เป็นหนังสือท่ช่วยในการดำเนินชีวิตประจำวัน เราเชื่อว่าเมื่อเราเชื่อในพระองค์เราได้รับองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ในทันใดนั้น เพราะทรงประทับตราเรา ( เอเฟซัส 1:13-14)