ขอบคุณสำหรับเรือ

ขอบคุณสำหรับเรือ

ลุยช่วยคนที่น้ำท่วม

ลุยช่วยคนที่น้ำท่วม
ระวังเรือล่มนะ

ช่วยเหลือพี่น้องที่น้ำท่วม

ช่วยเหลือพี่น้องที่น้ำท่วม
เราคนไทยไม่ทิ้งกัน

อย่าลืมอธิษฐานเผื่อพี่น้องอาข่านะครับ

อย่าลืมอธิษฐานเผื่อพี่น้องอาข่านะครับ
เราต้องการคำอธิษฐานเผื่อ

ภาพนี้ให้บทเรียนอะไรบ้าง

ภาพนี้ให้บทเรียนอะไรบ้าง
จะปลอบใจ หนุนใจ กันเถิด

หัวเหดหยัง

หัวเหดหยัง
อย่าเว้าเรื่องแฟนอายเผิน

การเลือกคู่ครองที่ถูกต้อง

การเลือกคู่ครองที่ถูกต้อง
อย่าเทียมแอกกับคนไม่เชื่อ

วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2552

มิชชั่นสันติสุขสกลนคร(ทับเวย์)





เทศนากลับสู่สวนเอเดน_นิกร


เทศนากลับสู่สวนเอเดน_นิกร




width="300"height="70"

type="application/x-oleobject"codebase="http://activex.microsoft.com/activex/controls/mplayer/en/nsmp2inf.cab#Version=6,4,5,715"standby="Loading Microsoft Windows

Media Player components...">







/>




type="application/x-mplayer2"pluginspage="http://www.microsoft.com/Windows/MediaPlayer/"name="objMediaPlayer" width="300" autosize="false"showdisplay="false"

displaysize="0" height="70" center="true"autostart="True">



วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552

มุมนี้มีเฮ คำถามคาใจ ถามได้ตอบดีมีรางวัล ( ชุด 3)

11. คริสตจักรอะไรที่ถูกเรียกว่าคริสเตียนเป็นครั้งแรก ( บอกชื่อและข้อพระคัมภีร์ด้วยนะ)

12. ใครคือมิชชันนารีคู่แรกในพระคัมภีร์ใหม่( ตอบชื่อและข้อพระคัมภีร์ด้วยนะ)

13. นี่คือข้อพระคัมภีร์อะไร ที่บอกว่า
ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่

14. นี่คือข้อพระคัมภีร์อะไร

เราบอกท่านทั้งหลายว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่าทุ่งนาเหลืองอร่าม ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว

15. นี่คือข้อพระคัมภีร์อะไร

เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน

/// รู้แล้วตอบมาที่ somchitbrid@hotmail.com somchitlove@gmail.com ( 0860287941)

จดหมายข่าวทับเวย์ฉบับที่ 5

จดหมายข่าวมิชชั่นTABWE
( จดหมายฉบับที่5 ประจำเดือนมีนาคม 2009)
TABWE มียอดเงินสนับสนุนคริสตจักรส่งมิชชันนารีไปยังประเทศเพื่อบ้าน ในเดือนมีนาคม2009
เป็นเงินทั้งสิ้นที่มีอยู่ทั้งสิ้น (116369.93 ณ ปัจจุบัน)
2. รายงานงานมิชชั่นของคริสตจักรต่างๆ มกราคม-มีนาคม 2009 คริสตจักรปางศิลาทองได้จัดประชุมมิชชั่นวัน อาทิตย์ที่ 4 ,11,18,25,ในเดือนมกราคม และขอบคุณพระเจ้าสำหรับการจัดงานมิชชั่นที่ปางศิลาทองเสร็จสิ้นด้วยดี และ.ค.จ ห้วยปูแกงวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ 2009 และได้รับรายงานว่าเป็นพระพรมากที่หลายคนได้เข้าใจงานมิชชั่นเพราะบางคนพึ่งจะรู้ว่ามิชชันนารี่คือใครและเขาก็สามารถเป็นได้เช่นกัน สรรเสริญพระเจ้า ส่วน ค.จ สกลนครได้จัดร่วมกันกับศูนย์ประกาศบ้านยางโล้นและได้ท้าทายให้ถวายทรัพย์และถวายตัวเพื่อมิชชั่นและอนุชนและสมาชิกได้ตอบสนองและมีส่วนร่วมเป็นอย่างดี และขอบคุณสำหรับค.จ หนองคายจะจัดประชุมมิชชั่นวันอาทิตย์ที่ 22 ก.พ. 2009 ก็ได้รับการหนุนใจทุกๆคนมาก แต่ส่วน ค.จ สันติสุขร่วมกับ ค.จ สว่างแดนดิน จะจัดประชุมมิชชั่นวันที่28-29มีนาคมนี้ วิทยากร คือ อ. สมชิต แจ้งไพร ขอพี่น้องได้อธิษฐานเผื่อคริสตจักรต่างๆที่กำลังจะจัดงานมิชชั่นในแต่ละแห่งด้วย และขอแจ้งงานมิชชั่นของโรงเรียนพระคริสตธรรมและประชุมรวมคริสตจักรในวันที่ 22 มีนาคมซึ่งพี่น้องแต่ละแห่งมีโอกาสมาร่วมรับพระพรด้วยกัน และได้เสร็จสิ้นแล้วด้วยความราบรื่นและเต็มด้วยพระพรและคำหนุนใจท้าทาย
แนวทางของ TABWE ในการสนับสนุนคริสตจักรเกี่ยวกับเรื่องมิชชั่น คือ
/ TABWE จะเป็นผู้ช่วยสนับสนุนและประสานงานและจัดข้อมูลต่างๆที่เป็นแนวทางในการ
ดำเนินงานมิชชั่น และส่งมิชชันนารี
/ TABWE จะช่วยให้ข้อแนะนำแนวทางต่างๆเกี่ยวกับการจัดประจำวางแผนงานมิชชั่นในเดือน
แห่งพันธกิจมิชชั่น ตลอดจนการให้คำปรึกษาต่างๆ
/ TABWE ได้จัดแบ่งการประสานงานตามกลุ่มภาคต่างๆมีดังนี้
1. อ. ไพรัตน์ ประสิทธิ์นอก ประสานงานคริสตจักรกรุงเทพและปริมณทล
2. อ. สุนทร คำมา ประสานงานทางคริสตจักรภาคเหนือ
3. อ. พรศักดิ์ สุขะจินตนากาญจน์ ประสานงานทางภาคอีสาน
4. อ. สมชิต แจ้งไพร ประสานงาน ภาคตะวันออก ตะวันตก และภาคใต้
4. คำหนุนใจ
จากคำเทศนา ของ อ. Dr. Ebersol ท่านได้แบ่งปันเรื่องคนทำงานอยู่ที่ไหน ( มธ 9:35-38)
และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง 37แล้วพระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่ 38เหตุนั้นพวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์” ท่านได้หนุนใจและท้าทายสามประการ 1. Compassion คือความเมตตาสงสารคนบาป รักห่วงใยคนบาปที่หลงหาย ที่ต้องการผู้เลี้ยงหรือผู้นำเพราะแกะช่วยตัวเองไม่ได้ พระเจ้าต้องการคนงานที่มีใจเมตตา 2. Contentment คือทำให้พระเจ้าพึงพอใจหรือเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าโดยการจัดลำดับหน้าหลังอย่างถูกต้อง คือ ให้งานประกาศข่าวประเสริฐเป็นอันดับแรกและนำข่าวประเสริญไปให้ทั่วโลก
2. Command คือ การเชื่อฟังและทำตามพระมหาบัญชา เพราะพระเยซูสั่งให้ออกไปประกาศข่าวดีจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก และคนงานพระเจ้าจะส่งจัดเตรียมและเราต้องช่วยกันขอคนงานโดยการวิงวอนอธิษฐานตัวอย่างมิชชันนารีที่บังกาเทศพ่อเธอตายเพราะการข่มเหงและมิชชันนารีได้อธิษฐานขอให้ลูกสาวของเขาเมื่อโตขึ้นจะไปรับใช้ที่บังกลาเทศ และก็เป็นความจริงเมื่อเด็กคนนี้ได้โตขึ้นและเป็นหมอและไปดูงานที่บังกลาเทศและเมื่อเธอกลับมาเธอบอกภาระใจแก่คริสตจักรและมิชชันนารีว่าเธอขอถวายตัวรับใช้พระเจ้ายอมไปเป็นมิชชันนารีที่บังกลาเทศ และเหล่ามิชชันนารีพากันสรรเสริญขอบพระคุณพระเจ้าและเล่าให้เธอฟังถึงคำอธิษฐานในงานศพพ่อของเธอ และเธอคือคนงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมและส่งมาให้อย่างแท้จริง ดังนั้นเราต้องอธิฐานของคนงาน และพระเจ้าจะส่งคนงานที่มีลักษณะที่พระเจ้าทรงต้องการคือ มีใจเมตตาสงสารคนบาป มีการจัดลำดับหน้าหลังของชีวิตที่พระเจ้าทรงพอพระทัย และการเชื่อฟังยอมทำตามพระมหาบัญชาของพระเจ้า ขอพระเจ้าทรงเตรียมชีวิตของพวกเราเพื่อเป็นคนงานที่มาร่วมเก็บเกี่ยวไร่นาของพระเจ้าด้วยกัน
ขอพระเจ้าทรงโปรดอวยพระพร
# หมายเหตุ: ถ้าท่านมีคำถามและข้อสงสัยโปรดติดต่อเจ้าหน้าที่ทับเวย์
: ถ้าท่านต้องการช่วยสนับสนุนหรือร่วมถวาย โปรดเข้าบัญชีและแจ้ง อ.สุนทร คำมา
( โทร 0870999817)
ชื่อบัญชี ( ออมทรัพย์ หรือ สะสมทรัพย์) ธนาคาร กรุงเทพ สาขา ตลาดสี่มุมเมือง
นาย ไพรัตน์ ประสิทธิ์นอก และ นาย สมชิต แจ้งไพร เลขที่บัญชี 237-2-07025-6

ประวัติและงานของทับเวย์ที่คุณสามารถร่วมรับใช้

ทับเวย์ Tabwe
( THAILAND ASSOCIATION OF BAPTIST FOR WORLD EVEGELISM, INC.)

- ประวัติทับเวย์ ได้เกิดขึ้นจากการเชื่อฟังพระมหาบัญชาของพระเจ้าและเห็นความสำคัญที่จะประกาศข่าวประเสริฐไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก และสืบเนื่องจากการได้รับคำสอนเรื่องมิชชั่นและการหนุนใจท้าทายจากมิชชั่นนารีหลายครั้งและยาวนานหลายไป จนได้รับการตอบสนองจากท่ามกลางผู้รับใช้และกลุ่มคริสตจักรและทับเวย์ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 ตุลาคม 2007 และมีเจ้าหน้าที่และคณะกรรมการและที่ปรึกษาขององค์การทับเวย์อย่างเป็นทางการ

( ใช้ชุดเดียวกับกลุ่มองค์กรแบ๊บติสต์ร่มพระคุณ )

ประธานขององค์การทับเวย์ ศจ.พรศักดิ์ สุขะจินตนากาญจน์

รองประธาน อ. บัวเรียน ศรีมุกดา

เลขานุการ อ.ไพรัตน์ ประสิทธิ์นอก

เหรัญญิก อ. สุนทร คำมา อ. สมชิต แจ้งไพร

คณะกรรมการ อ. ศักดิ์ชัย ประเทศา อ. วีระศักดิ์ ตู้นิลจินดา อ. ไพรัช เสนากุล

ที่ปรึกษา อ. อาร์ทอินเนียน อ. ดอน แครฟ อ. ชาลลีโฮมส์ อ. เกียรติศักดิ์ ศิริพนาดร

แนวทางการดำเนินงานและเป้าหมายของทับเวย์
แนวทางของ TABWE ในการสนับสนุนคริสตจักรเกี่ยวกับเรื่องมิชชั่น คือ
/ TABWE จะเป็นผู้ช่วยสนับสนุนและประสานงานและจัดข้อมูลต่างๆที่เป็นแนวทางในการ
ดำเนินงานมิชชั่น และส่งมิชชันนารี
/ TABWE จะช่วยให้ข้อแนะนำแนวทางต่างๆเกี่ยวกับการจัดประจำวางแผนงานมิชชั่นในเดือน
แห่งพันธกิจมิชชั่น ตลอดจนการให้คำปรึกษาต่างๆ
/ TABWE ได้จัดแบ่งการประสานงานตามกลุ่มภาคต่างๆมีดังนี้
1. อ. ไพรัตน์ ประสิทธิ์นอก ประสานงานคริสตจักรกรุงเทพและปริมณทล
2. อ. สุนทร คำมา ประสานงานทางคริสตจักรภาคเหนือ
3. อ. พรศักดิ์ สุขะจินตนากาญจน์ ประสานงานทางภาคอีสาน
4. อ. สมชิต แจ้งไพร ประสานงาน ภาคตะวันออก ตะวันตก และภาคใต้
สารอธิษฐานสำหรับทับเวย์
1.การทำงานของคณะกรรมการทับเวย์
2.การทรงนำและจัดเตรียมคนที่จะเป็นมิชชันนารี ( บุคลากร)
3.การทรงนำให้ไปประเทศอะไร หรือ ที่ไหน
4.การมีส่วนร่วมและสนับสนุนท่ามกลางผู้เชื่อในคริสตจักร

สิ่งที่ท่านสามารถช่วยและทำได้เดี๋ยวนี้
1. การสนับสนุนด้วยคำอธิษฐานเผื่อ
2. การสนับสนุนด้วยกำลังทรัพย์ ( การถวาย )
3. การสนับสนุนร่วมมือในการดำเนินงานทับเวย์
4. การฟังพระสุเสียงของพระเจ้า ( ฟังเสียงเรียกของพระเจ้า ) พระเจ้าอาจกำลังเรียกท่าน
# หมายเหตุ: ถ้าท่านมีคำถามและข้อสงสัยโปรดติดต่อเจ้าหน้าที่ทับเวย์
: ถ้าท่านต้องการช่วยสนับสนุนหรือร่วมถวาย โปรดเข้าบัญชีและแจ้ง อ.สุนทร คำมา
( โทร 0870999817)
ชื่อบัญชี ( ออมทรัพย์ หรือ สะสมทรัพย์) ธนาคาร กรุงเทพ สาขา ตลาดสี่มุมเมือง
นาย ไพรัตน์ ประสิทธิ์นอก และ นาย สมชิต แจ้งไพร เลขที่บัญชี 237-2-07025-6
พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”


ขอพระเจ้าทรงโปรดอวยพระพรท่านทั้งหลาย

ชีวิตที่เลือกได้

เทศนา อ.สมชิต แจ้งไพร
- จุดประสงค์ .......ให้คริสเตียนฉลาดเลือกและมั่นใจในชีวิตหลังความตายจริงๆ
- บทเรียนจากชีวิตของเศรษฐีและลาซารัส ลก.16.19-31
- คำนำ...... ชีวิตของทุกคนเป็นชีวิตที่เลือกได้ แต่มีบางสิ่งที่เลือกไม่ได้
เช่น เกิดเป็นชายหรือหญิง เกิดมาในเชื้อชาติ สีผิว ร่างกาย พ่อแม่ พี่น้อง แต่สิ่งที่เราเลือกได้และกำหนดได้ คือ จะเป็นคนดี ทำความดี เป็นคนฉลาด เก่ง ขยัน จน รวย และหน้าตา หุ่น เสื้อผ้า ตบแต่งได้ และมีบทเรียนจากชีวิตของเศรษฐีและลาซารัส ที่เหมือนกันแต่มีบางสิ่งที่ไม่เหมือนกัน เพราะการเลือกตัดสินใจ เกี่ยวกับ ความเชื่อ การเลือก และการให้ความสำคัญที่แตกต่างกัน
- เรื่อง ....... ชีวิตที่เลือกได้ ( ลก 16.19-31)
/// ชีวิตที่เลือกได้ เป็นชีวิตที่ดีกว่า มั่นคง ปลอดภัย และเลือกเอาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตของเราเอง
/// ชีวิตของลาซารัสกับเศรษฐีมีอะไรที่เหมือนกัน และมีอะไรที่ต่างกัน อย่างไร
1. มีชีวิตฝ่ายร่างกายเหมือนกัน ข.22 ปญจ 9.5
- คือ มีความต้องการเหมือนกัน คือ ปัจจัยสี่ อาหาร เสื้อผ้า ยารักษาโรค และที่อยู่อาศัย อื่นๆ
และเศรษฐี ก็ต้องกินเหมือนกัน หนาวเหมือนกัน เหนื่อยเหมือนกัน ต้องการสุขภาพดีเหมือนกัน
ต้องการความสะดวกสบายและความสุขเหมือนกัน ต้องการความรักเอาใจใส่เหมือนกัน และต้องการ ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเหมือนกัน ( ลาซารัสก็ต้องการเหมือนกัน)
2. มีชีวิตในโลกนี้ชั่วคราวเหมือนกัน ข.22 ปญจ 9.5
- คือ ต้องตายเหมือนกัน ไม่มีใครอยู่ยงคงกระพันธ์ ไม่ว่าคนจนหรือรวย ดีหรือเลว ฉลาดหรือโง่ เด็กหรือผู้ใหญ่ คนอ้วนหรือคนผอม คนผมสีดำหรือ แดง เหลือง ชนชาติไหนๆ ก็ต้องเผชิญกับความตาย ตามที่ท่านซาโลมอน หรือปัญญาจารย์กล่าวไว้ 9.2-5 เคราะห์อันเดียวกันตกแก่คนทั้งปวงเหมือนกันหมด คือตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม ตกแก่คนดี ตกแก่คนสะอาดและคนที่มีมลทิน ตกแก่ผู้ที่ถวายสัตวบูชา และแก่ผู้ที่ไม่ถวายสัตวบูชา ตกแก่คนดีอย่างไร ก็ตกแก่คนบาปอย่างนั้น ตกแก่คนสาบานอย่างไร ก็ตกแก่คนไม่กล้าสาบานอย่างนั้น 3นี่แหละเป็นสิ่งสามานย์ ที่มีอยู่ในบรรดาการที่บังเกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์ คือว่ามีเคราะห์อันเดียวกันที่ตกแก่คนทั้งปวง เออ จิตใจของมนุษย์ก็เต็มไปด้วยความชั่วและความบ้าบออยู่ ในใจของเขาเมื่อมีชีวิตและต่อจากนั้น เขาก็ไปอยู่กับคนตาย 4ส่วนคนใดที่มั่วสุมอยู่กับคนที่มีชีวิต คนนั้นก็มีความหวังใจได้ ด้วยว่าสุนัขที่เป็นก็ยังดีกว่าสิงห์ที่ตายแล้ว 5เพราะว่าคนเป็นย่อมรู้ว่าเขาเองคงจะตาย แต่คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย เขาหาได้รับรางวัลอีกไม่ ด้วยว่าใครๆก็พากันลืมเขาเสียหมด
( 2:16) ข้าพเจ้าจึงรำพึงว่า “เคราะห์กรรมอันใดเกิดแก่คนเขลาฉันใด ก็คงจะเกิดกับตัวข้าพเจ้าฉันนั้น ถ้ากระนั้นแล้วข้าพเจ้าจะมีสติปัญญามากมายทำไมเล่า” ข้าพเจ้าจึงรำพึงว่าเรื่องนี้ก็อนิจจังเหมือนกัน 16เพราะไม่มีใครระลึกถึงคนมีสติปัญญาเช่น เดียวกับคนเขลา ด้วยเห็นว่าในอนาคตก็ลืมกันไปหมดแล้ว พุทโธ่ คนมีสติปัญญาก็ตายเหมือนคนเขลา
- คือ ทุกคนต้องตายเพราะ สังขาร หรือ เพราะบาป เนื่องจากการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คู่แรก
คืออาดัมและเอวา ( ปฐมกาล 2:15-17 ) พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและรักษาสวน 16พระเจ้าจึงทรงบัญชาแก่มนุษย์นั้นว่า “บรรดาผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ทั้งหมด 17เว้นแต่ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว ผลของต้นไม้นั้นอย่ากิน เพราะในวันใดที่เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่” ( โรม 5:12 )เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆเดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป ( โรม 3.23 ) เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า ( ปัญญาจารย์ 7:20)แน่ทีเดียวไม่มีคนชอบธรรมสักคนเดียวบนแผ่นดินโลก ที่ได้ประพฤติล้วนแต่ความดี และไม่กระทำบาปเลย
( โรม 6:23)เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

/// ชีวิตของเศรษฐีและลาซารัสต้องเผชิญชะตากรรมเหมือนกัน คือ มีความต้องการปัจจัยของชีวิตเหมือนกัน
และต้องประสบกับความตายเหมือนกันเพราะเป็นคนบาป จากอาดัมและเอวาเป็นธรรมชาติบาป และแม้
เขาทั้งสองก็ต้องการ ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตเหมือนกัน ต้องการความสุขเหมือนกัน แต่ความสุขแท้
อยู่กับคนที่ คิดได้ คิดเป็น และ เข้าใจสัจจะธรรมของชีวิต ( แม้ชีวิตของเศรษฐีจะดูเหมือนต่างกันราวฟ้ากับดิน ) แต่คนที่ฉลาดเลือก และยอมรับในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ และเป็นอยู่ก็จะพบความสุขได้เช่นกัน
เช่น ตัวอย่างเรื่องพระราชาที่ต้องการความสุข กับชายยากจน มีพระราชาองค์หนึ่งที่แสวงหาความสุขและไม่พบ จึงไปถามชายผู้รอบรู้คนหนึ่งจึงบอกว่าต้องไปหาเสื้อแห่งความสุขให้เจอและเอามาสวมใส่จึงจะมีความสุขได้ และทหารก็ออกตามหาเสื้อแห่งความสุขวันแล้ววันเล่าปีแล้วปีเล่าก็ไม่พบ จนอยู่มาวันหนึ่งก็ได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งพูดออกมาจากกระท่อมล้างเก่าๆทรุดโทรม จึงรีบพังเข้าไปก็พบชายคนนั้นนอนอยู่และป่วยเกือบจะตายแต่ยังมีความสุขกับชีวิตได้
/// และชีวิตของเศรษฐีและลาซารัส อาจมีมุมแห่งความสุขไม่เหมือนกัน และ แนวทางก็ต่างกัน
เช่น เศรษฐีอาจบ่นว่าพรุ่งนี้จะกินอาหารอะไรดีเพราะมีมากจนเลือกไม่ถูก แต่ลาซารัสก็คงจะคิดว่าพรุ่งนี้จะกินอะไรเพราะไม่มีอะไรให้เลือกและให้กิน และเศรษฐีก็จะคิดว่าพรุ่งนี้จะใส่เสื้อสีอะไรแบบไหน แต่สำหรับลาซารัสก็คงคิดว่าพรุ่งนี้จะหาเสื้อที่ไหนใส่เพื่อความอบอุ่นของร่างกาย
/// พี่น้องที่รักบทเรียนจากชีวิตของเศรษฐีและลาซารัสให้ข้อคิดและเตือนสติอะไรบ้าง เรากำลังมีชีวิตเหมือนเศรษฐี หรือต้องเป้าและใฝ่ฝันร่ำรวยเหมือนเศรษฐี หรือ คิดเหมือนเปาโล พอใจในสิ่งที่พระเจ้าทรงให้
( ฟีลิปปี 4:11-13 ) ข้าพเจ้าไม่ได้บ่นถึงเรื่องความขัดสน เพราะข้าพเจ้าจะมีฐานะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็เรียนรู้แล้วที่จะพอใจอยู่อย่างนั้น 12ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเผชิญกับความตกต่ำ และรู้จักที่จะเผชิญกับความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะเผชิญกับความอิ่มท้องและความอดอยาก ความสมบูรณ์พูนสุข และความขัดสน 13ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
( ฟีลิปปี 3: 7-8)แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ 8ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์ 9
/// จงคิดได้ คิดเป็น และเข้าใจสัจจะธรรมของชีวิต คือ เรามีร่างกายเหมือนกัน และเราต้องเผชิญความตายเหมือนกัน และขอให้รู้ว่า ชีวิตของเรามีค่ามากในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ว่าจะยากดีมีใจ เช่น พระเยซูทรงสอนเรื่องแกะหายหนึ่งตัวและละแกะเก้าสิบเก้าไปหาแกะเพียงตัวเดียว คนเดียวมีค่ายิ่งกว่าโลกนี้ทั้งใบ
/// ท่านปัญญาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า ชีวิตควรฉลาดเลือก และเข้าใจสัจจะธรรมชีวิต และให้คิดถึงชีวิตสำคัญมาก ( ปญจ. 7:1-5 ) ชื่อเสียงดีก็ประเสริฐกว่าน้ำมันหอมอย่าง วิเศษ และวันตายก็ดีกว่าวันเกิด 2ไปยังเรือนที่มีการไว้ทุกข์ ก็ดีกว่าไปยังเรือนที่มีการเลี้ยงกัน เพราะนั่นเป็นวาระสุดท้ายของมนุษย์ทั้งปวง และผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จะเอาเหตุการณ์นั้นใส่ไว้ในใจ 3ความโศกเศร้าก็ดีกว่าการหัวเราะ เพราะความโศกเศร้าในใบหน้า ทำให้จิตใจยินดี 4จิตใจของคนที่มีสติปัญญา ย่อมอยู่ในเรือนที่มีความโศกเศร้า แต่จิตใจของคนเขลา ย่อมอยู่ในเรือนที่มีการสนุกสนาน 5ฟังคำตำหนิของคนที่มีสติปัญญา ยังดีกว่าฟังเพลงของคนเขลา

3. มีชีวิตหลังความตายเหมือนกัน หรือ มีชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณเหมือนกัน
- คือ ต้องเผชิญกับชีวิตหลังตายเหมือนกัน ไม่ใช่ดับสูญ หรือ ไม่มีชีวิตฝ่ายวิญญาณ
ตามความเชื่อของบางศาสนา และ วิทยาศาสตร์ไม่เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย
- คือ ไม่มีโอกาสกลับมาเวียนว่ายตายเกิด อีก ( ฮบ 9:27 )
มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่าจะตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษาฉันใด
- ต้องการความรอดเหมือนกัน
- ต้องการพระผู้ช่วยให้รอดเหมือนกัน
/// สิ่งทีต่างกันของเศรษฐีกับลาซารัส คือ ความรอด นรก สวรรค์ ทรมาน มีความสุข
/// สิ่งที่เกิดขึ้นกับเศรษฐีและลาซารัสเป็นผลจากความเชื่อ และการเลือก การตัดสินใจ
เศรษฐี เลือกอะไร เชื่ออะไร เชื่ออย่างไร ลาซารัส เลือกอะไร เชื่ออะไร เชื่ออย่างไร
1. เชื่อในพระเจ้าตามพ่อแม่บรรพบุรุษ 1. เชื่อเป็นส่วนตัวไม่ได้ตามใคร
2. ถือว่าตนเองเป็นลูกหลานอับราฮัม 2. ถือว่าตนเองเป็นลูกหลานอับราฮัม
3. เชื่อพระเจ้าเป็นเพียงศาสนา 3. เชื่อพระเจ้าเป็นบุคคล
4. ไม่เชื่อ ไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ 4.เชื่อพระเยซูเป็นพระเจ้าพระผู้ไถ่
5. เชื่อในพระเจ้าแต่ไม่เชื่อพระเยซู 5. เชื่อในพระเจ้าและพระเยซูเป็นอันเดียวกัน
6. เชื่อ แต่ไม่รับเชื่อ 6. เชื่อและรับเชื่อ
/// การเลือก /// การเลือก
- เลือกชีวิตนี้ ไม่สนใจโลกหน้า - เลือกโลกหน้าและเตรียมตั้งแต่ชีวิตนี้
/// เบื้องหลังของทั้งสอง
เชื่อในพระเจ้า เป็นคนยิว เป็นลูกหลานอับราฮัม เชื่อพระคัมภีร์ รู้จักโมเสส และผู้เผยพระวจนะ เหมือนกัน
และแน่นอนพระเจ้าทรงหยิบยื่นโอกาสให้เหมือนกัน ที่จะได้รู้ ได้ยิน ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซู แต่ขึ้นอยู่กับ การเลือกและการตัดสินใจ และความเชื่อส่วนบุคคล เพราะพระเจ้าต้องหารให้ทุกคนรอด ( ปญจ.9:11)ข้าพเจ้าได้เห็นภายใต้ดวงอาทิตย์อีกว่า คนเร็วไม่ชนะในการวิ่งแข่งเสมอไป หรือฝ่ายมีกำลังไม่ชนะสงครามเสมอไป หรือคนฉลาดไม่รับประทานเสมอไป หรือคนมีความเข้าใจไม่ร่ำรวยเสมอไป หรือผู้ที่เชี่ยวชาญไม่ได้รับความโปรดปรานเสมอไป แต่วาระและโอกาสมีมาถึงเขาทุกคน
( 2ปต3:9) องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายมาช้านาน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย แต่ทรงปรารถนาที่จะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่
/// บทเรียนจากชีวิตของเศรษฐีและลาซารัส เป็นภาพของเราเองในอนาคตที่เราเลือกได้ เตรียมได้
ทำไมเศรษฐีจึงไม่ได้รับความรอด เพราะขึ้นอยู่กับความเชื่อการกลับใจบังเกิดใหม่ของเขา
เช่น มีชาวยิวมากมายที่คิดว่าตนเองไม่ต้องกลับใจบังเกิดใหม่ เหมือน นิโคเดมัส ( ยน 3: 3-5) พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่(หรือ จากเบื้องบน) ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้” 4นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า “คนชราแล้วจะบังเกิดใหม่อย่างไรได้ จะเข้าในครรภ์มารดาครั้งที่สองและบังเกิดใหม่ได้หรือ” 5พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่จากน้ำและพระวิญญาณ ผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้ 6ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ คือ การเกิดจากพ่อแม่ เชื้อชาติ ไม่เกี่ยวกับฝ่ายวิญญาณ

และชาวยิวมักมีความคิดว่าตนเองไม่ใช่คนบาป เพราะคนบาปคือพวกต่างชาติและคนพิกาล ( ยน. 9: 1-3)
เมื่อพระองค์เสด็จดำเนินไปนั้น ทรงเห็นชายคนหนึ่งตาบอดแต่กำเนิด 2และพวกสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ใครได้ทำผิดบาป ชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด” 3พระเยซูตรัสตอบว่า “มิใช่ว่าชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขาได้ทำบาป แต่เขาเกิดมาตาบอด เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา และบางครังพวกฟารีสีก็ไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป
( ยน.9: 39-41)พระเยซูตรัสว่า “เราเข้ามาในโลกเพื่อแก่การพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และคนที่มองเห็นกลับตาบอด” 40เมื่อพวกฟาริสีที่อยู่ใกล้พระองค์ได้ยินอย่างนั้น จึงกล่าวแก่พระองค์ว่า “เราตาบอดด้วยหรือ” 41พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ถ้าพวกท่านตาบอดพวกท่านก็จะไม่มีความผิดบาป แต่บัดนี้ท่านพูดว่า 'เรามองเห็น' เหตุฉะนั้นความผิดบาปของท่านจึงยังมีอยู่
และชาวยิวและคนรวยมักคิดว่าตนเอง เป็นคนดี ทำดี ทำทานเยอะจึงทำให้ได้ความรอด เช่นท่านเศรษฐีหนุ่มคนหนึ่ง (มธ.19:16 ) ดูเถิด มีคนหนึ่งมาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำดีประการใด จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์ และการถวายมากเหมือนกับว่าได้บุญหรือความชอบมาก ( มก.12:41-44) พระเยซูได้เสด็จประทับตรงหน้าตู้เก็บเงินถวาย ทรงสังเกตประชาชนเอาเงินมาใส่ไว้ในตู้นั้น และคนมั่งมีหลายคนเอาเงินมากมาใส่ในที่นั้น 42มีหญิงม่ายคนหนึ่งเป็นคนจนเอาเหรียญทองแดงสองอัน มีค่าประมาณสลึงหนึ่งมาใส่ไว้ 43พระองค์จึงทรงเรียกเหล่าสาวกมาตรัสแก่เขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงม่ายจนคนนี้ได้ใส่ไว้ในตู้เก็บเงินถวายมากกว่าคนทั้งปวงที่ใส่ไว้นั้น 44เพราะว่าคนทั้งปวงนั้นได้เอาเงินเหลือใช้ของเขามาใส่ไว้ แต่ผู้หญิงนี้ขัดสนที่สุด ยังได้เอาเงินที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตของตนมาใส่จนหมด” ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้หลายคนไม่ได้รับความรอดเพราเข้าใจผิด เช่น ยิวบางคนอวดอ้างว่าตนเองเป็นลูกหลานของอับราฮัม จึงได้สิทธิพิเศษและรวมทั้งการเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ด้วย ( ลก.3:7-9) ยอห์นจึงกล่าวแก่ประชาชนที่ออกมารับบัพติศมา(พิธีชำระ ใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์ เล็งถึงการที่พระเจ้าทรงให้อภัยคนบาป) จากท่านว่า “เจ้าชาติงูร้าย ใครได้เตือนเจ้าให้หนีจากพระอาชญาซึ่งจะมาถึงนั้น 8เหตุฉะนั้น จงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นกับอับราฮัม จากก้อนหินเหล่านี้ได้ 9บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดทิ้งแล้วโยนทิ้งในกองไฟ”
ดังนั้นจึงเป็นกับดักที่มารซาตานใช้ได้ผลเป็นอย่างดี และที่สำคัญที่สุดที่พวกยิวอวดอ้างมาก คือ การประพฤติตามบัญญัติสิบประการของโมเสสและพิธีเข้าสุหนัต ( กิจการ 15:1) มีบางคนลงมาจากแคว้นยูเดียได้สั่งสอนพวกพี่น้องว่า ถ้าไม่เข้าสุหนัตตามจารีตของโมเสส จะรอดไม่ได้ แต่เปโตรบอกอย่างชัดเจนว่าเรารอดได้โดยพระคุณเหมือนกัน ( กจ.15:8-11)
6ฝ่ายอัครทูตกับผู้ปกครองทั้งหลายจึงได้ประชุมปรึกษากันในเรื่องนั้น 7เมื่อโต้แย้งกันมากแล้ว เปโตรจึงยืนขึ้นกล่าวว่า “พี่น้องเอ๋ย ท่านทั้งหลายทราบอยู่ว่า เมื่อแรกเริ่มนั้น พระเจ้าได้ทรงเลือกข้าพเจ้าเองจากพวกท่านทั้งหลาย ให้เป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐให้คนต่างชาติฟังและเชื่อ 8พระเจ้าผู้ทรงทราบจิตใจมนุษย์ได้ทรงรับรองคนต่างชาติ และทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ แก่เขาเหมือนได้ทรงประทานแก่พวกเรา 9พระองค์ไม่ทรงถือเราถือเขา แต่ทรงชำระใจเขาให้บริสุทธิ์โดยความเชื่อ 10ถ้าอย่างนั้นทำไมท่านทั้งหลายจึงทดลองพระเจ้า โดยวางแอกบนคอของพวกสาวก ซึ่งบรรพบุรุษของเรา หรือตัวเราเองก็ดีแบกไม่ไหว 11แต่เราเชื่อว่า เราเองก็รอดโดยพระคุณของพระเยซูคริสตเจ้าเหมือนอย่างเขา”


สุดท้ายเราได้เห็นบทเรียนที่สำคัญเกี่ยวกับความรอดของเราเองเป็นส่วนตัว เราเลือกได้ กำหนดได้
โดยเห็นภาพชีวิตของลาซารัส กับเศรษฐี ที่คนหนึ่งเชื่อ คนหนึ่งไม่เชื่อ คนหนึ่งเชื่อ แต่คนหนึ่งไม่รับเชื่อ
คนหนึ่งให้ความสำคัญมากกับชีวิตหลังความตายและความรอด แต่อีกคนหนึ่ง ไม่สนใจใยดี
แต่สุดท้าย เราหนีสัจจะธรรมความจริงไม่ได้ หนีไม่พ้น คือ มีชีวิตหลังความตาย และมีการพิพากษาเกิดขึ้นจริง และ นรกมีจริง สวรรค์มีจริง และหมดโอกาส ไม่มีโอกาส อีกแล้ว
/// แต่เราเห็นท่านเศรษฐีนั้น คิดถึงคนที่ยังอยู่จึงยากขอโอกาส เพราะ คนที่รวยและคนที่คิดว่าตนเองทำดีพอสมควรแล้ว เป็นคนที่เชื่อยาก กลับใจยาก ไม่สนใจชีวิตหลังตาย เลยอ้อนวอนขอให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากความตายไปบอก พวกญาติพี่น้องคงต้องกลับใจเชื่อเป็นแน่แท้ แต่อับราฮัมตอบว่า เขามีโมเสสและผู้เผยพระวจนะอยู่แล้ว ถ้าเขาจะเชื่อก็เชื่อถ้าเขาไม่เชื่อยังไงก็ไม่เชื่อ คือ พระเจ้าไม่บังคับให้เชื่อ และถ้าเราจะดู แม้ราซารัสน้องชายของนางมารีย์ฟื้นจากความตายเขาก็ไม่เชื่อ แม้พระเยซูฟื้นจากความตายเขาก็ไม่เชื่อ

/// ท่านเศรษฐีหนุ่ม เป็นคนคนที่ตนเองรักเมื่อหมดโอกาส แต่ เราทุกคนยังมีโอกาสบอกเขา ด้วยปาก ด้วยตัวของเราเอง จึงทำ จงรีบ จงอย่าชะล่าใจ จงอย่าละเลย จงอย่าอ่อนระอาใจ จงอย่าท้อถอยแม้เขายังไม่เชื่อ

/// วันนี้สำหรับคนที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่รอด ยังไม่แน่ใจ ยังไม่มั่นใจในความรอด ต้องมั่นใจเดี๋ยวนี้

สรุป.........บทเรียนจากชีวิตของเศรษฐีกับลาซารัส ไม่ใช่การขู่หรือเขียนเสือให้วัวกลัว
พระเยซูเป็นพระเจ้า ทรงตรัสเอง ไม่โกหก เพราะพระเจ้าโกหกไม่ได้ จงเลือกให้เป็น เลือกให้ถูก
/// ถ้าไม่มีพระเจ้าจริงๆ ก็ไม่เสียหาย เสมอกัน แต่ถ้ามี และมีจริงๆ คนเสียเปรียบ คือ เศรษฐี

1. เรามีชีวิตฝ่ายร่างกายเหมือนกัน
2. เราต้องพบกับความตายเหมือนกัน
3. เราต้องพบกับชีวิตหลังตายเหมือนกัน
//// แต่ผลของความเชื่อการเลือกและตัดสินใจของเราวันนี้ จะเป็นตัวกำหนด
ข้าพเจ้าหวังว่า ท่านจะเลือกเป็น และ กล้าที่จะเลือก และ ท่านจะขอบคุณที่ได้ตัดสินใจเลือกพระเยซู

How Good Christians Sometimes Do the Devil's Work

How Good Christians Sometimes Do the Devil's Work‏
From:
Ray Pritchard (ray@keepbelieving.com)
Sent:
Monday, March 23, 2009 6:39:18 AM
To:
somchitbrid@hotmail.com















Sunday, March 22, 2009Greetings from Tupelo at the end of a beautiful Sunday. On Thursday we leave for our trip to the Philippines. Earlier this evening I figured out that it will take us 27 hours to get from Tupelo to Manila. We fly from Tupelo to Memphis to Detroit to Tokyo and then to Manila. The next day we fly to Davao City in the southern Philippines. I have just posted some day-by-day prayer requests for our trip. I hope you’ll take time to read those requests and then pray as God brings us to mind. We’re very happy that Derek Taylor, the KBM webmaster, will be joining us on this trip. He plans to post video updates (daily if possible) on the KBM weblog. We’ll meet Derek in Detroit and then fly together to Manila and then on to Davao City. This week’s podcast is called Sound the Trumpet! Jesus is Coming Again. We’ve got a lot of things happening on the website, including the Lenten blog series and the brand-new FAQs section. And you can stay in touch with us via Facebook and Twitter.Thanks again for your faithful support of this ministry. You can give by mail or via our online giving option.You can find my daily weblog with the latest personal news, updates on Dudley and Gary, links to interesting articles, commentary on current events, travelogue and biking updates (296 miles YTD) at Keep Believing and Crosswalk. That's the news from our corner of the world where we're excited going to the Philippines. I hope you have a wonderful week.Ray Pritchard-----------------------------------Keep Believing MinistriesTupelo, MississippiMarch 22, 2009
How Good Christians Sometimes Do the Devil’s WorkMatthew 16:21-23
“From that time on Jesus began to explain to his disciples that he must go to Jerusalem and suffer many things at the hands of the elders, chief priests and teachers of the law, and that he must be killed and on the third day be raised to life. Peter took him aside and began to rebuke him. ‘Never, Lord!’ he said. ‘This shall never happen to you!’ Jesus turned and said to Peter, ‘Get behind me, Satan! You are a stumbling block to me; you do not have in mind the things of God, but the things of men’" (Matthew 16:21-23).Everything about this story seems strange. First Peter rebukes Jesus, and then Jesus rebukes Peter. This is some of the harshest language Jesus ever used. Though he used more colorful language when he excoriated the Pharisees (Matthew 23), he never called them “Satan.” For that matter, even though the Bible says that Satan entered Judas (John 13:27), Jesus never called him “Satan.” Peter remains the only person Jesus ever called “Satan.” The timing makes this whole story even more peculiar. In the preceding verses Peter has just uttered a magnificent statement of faith: “You are the Christ, the Son of the living God” (v. 16). Jesus responded with high praise of his own:
--You are blessed (v. 17). --You didn’t learn this from man but from God (v. 17).--Upon this rock I will build my church (v. 18).--I give you the keys of the kingdom (vv. 19-20).
From that high point Jesus begins to unveil the future to them (v. 21):
--He must go to Jerusalem.--He must suffer many things at the hands of the Jewish leaders.--He must be killed.--He must be raised on the third day.
Our problem stems mostly from the fact that all of this is old news to us. If you have been a Christian for any period of time, you know the story of Good Friday and Easter. And even if you aren’t a Christian, you probably know the general outline. So no matter how we read this story, it’s not “new news” to us. We’ve heard it all before. And therein lies the problem. The disciples were hearing this for the very first time. And the thought of their Master being killed in Jerusalem simply staggered them. They had no categories for it. No way to think about it. He told them the bad news and they couldn’t handle it. Evidently they didn’t even hear the part about rising from the dead.They had no category for that either. In Mark’s parallel account (Mark 8:31-33), he adds that Jesus spoke “plainly” about the future, meaning he didn’t pull any punches, didn’t sugarcoat it, didn’t say, “Well, there might be a little trouble in Jerusalem.” Nothing like that. None of it made sense. So Peter did what we generally do when we think someone we love is talking “crazy talk.” He pulled Jesus aside so he could set him straight. "Never, Lord!" he said. "This shall never happen to you!"Twice he told Jesus “never.” It’s as if he thinks Jesus has momentarily lost his mind. I think he means, “Lord, don’t worry about it. There are twelve of us. We’ll keep you safe. They’ll have to go through us to get to you.” But you can’t get around it. He “rebuked” the Son of God. This is not a good move for an aspiring disciple of Christ. Why did he do it?So we pause to ask our first question. Why did he do it? What was Peter thinking when he pulled Jesus aside and rebuked him?First, he did it because he loved Jesus and wanted to spare him the pain of crucifixion. Surely this must be counted as a noble if misguided emotion. Second, he didn’t understand God’s plan. Peter’s view of Jesus as the “Christ, the Son of the living God” did not include the shame and horror of public crucifixion. Here is the paradox of Peter at this point. Just seconds earlier he had made one of the most profound declarations anyone has ever made. But in his mind he had no category for the “Suffering Servant” or the “Crucified Son of God.” He simply could not grasp how someone as good and holy and pure and righteous as Jesus, the promised Messiah of Israel, would suffer and die like a common criminal. Third, he thought he knew God’s will better than Jesus. At this point he stands in direct opposition to God’s plan to bring salvation to the world. We must not water this down. The text says that he “rebuked” Jesus. That doesn’t make any sense. You don’t go around rebuking the Son of God. In the Old Testament people got killed for that sort of irreverence. Fourth, he wanted a kingdom without a cross. And who could blame him? We can barely understand what crucifixion meant to the Jews in the first century. It was the ultimate instrument of public torture. Perhaps lynching would be the closest modern equivalent. Today we wear bright, shiny crosses to remember Jesus’ death. No Jew would have understood such a thing. To them the cross meant brutal, public, bloody, painful, agonizing, shameful death. If we want a modern counterpart, we should hang a picture of a gas chamber at Auschwitz in front of our sanctuary. Or put a noose there. Or an electric chair with a man dying in agony—his face covered, smoke coming from his head. The very thought sickens us. But that’s what the cross meant for Jesus. No wonder Peter rebuked him. And then Jesus rebuked Peter but with one difference. Jesus rebuked him publicly. Mark makes it clear that Jesus looked at all the disciples when he said to Peter, “Get behind me, Satan!” First he calls him the “rock.”Seconds later he calls him Satan.Why Did Jesus Call Him Satan?That leads to our second question. Why did Jesus use such strong language? Why did he call Peter “Satan”?First, Peter was guilty of false intimacy and ignorant presumption. We must not miss the context. After the wonderful things that Jesus said to Peter, I imagine it must have gone to his head. Perhaps he was “feeling his oats” a little bit. After all, if he is the “rock” and has the “keys to the kingdom” (notwithstanding that the keys were given to all the apostles, not just to Peter, and they ultimately belong to the whole church), surely he has the right to take Jesus aside and do a bit of “iron sharpens iron,” one man helping another, that sort of thing. But he was wholly out of line in what he did.Second, Jesus knew that Satan stood behind Peter’s well-meaning but misguided words. Satan’s plan for Jesus always avoided the cross. In the wilderness he had taken Jesus to a high mountain, offering him all the kingdoms of the world if only he (Jesus) would bow down and worship him (Satan). It was a seductive temptation. “Jesus, why go through the pain and shame of the cross? Worship me and I’ll give you all the kingdoms of the world.” Even though Peter was not conscious of being used by Satan, he was truly doing his work by attempting to keep Jesus from going to the cross.Third, Jesus knew he must go to the cross in order to provide salvation for the world. That’s why Jesus used the word “must.” He “must” go to Jerusalem where he “must” suffer and “must” die and “must” rise from the dead. Nothing would happen by chance. Ever the fierce hatred of the Jewish leaders fulfilled God’s eternal plan. Nothing was contingent in the mind of God about the death of his Son. That’s why the Bible speaks of him as a lamb slain before the foundation of the world (Revelation 13:8). Eugene Peterson catches the sense of Jesus’ answer this way: “But Jesus didn't swerve. ‘Peter, get out of my way. Satan, get lost. You have no idea how God works.’" That’s a good way to put it because Peter at that point had no idea how God works. To Peter the cross was evidence of failure. To Jesus the cross was the purpose for which he came to earth.To Peter the cross meant that Jesus had been defeated.To Jesus the cross was the means by which Satan was defeated.To Peter the cross meant that evil had won the day.To Jesus the cross was the path to final victory over sin.To Peter the cross meant that Jesus was gone forever.To Jesus the cross led to the empty tomb.To Peter the cross was a badge of shame.To Jesus the cross brought salvation to the world. To Peter the cross meant they had no message to preach.To Jesus the cross became the message they would preach to the nations.To Peter the cross made no sense.To Jesus the cross displayed the wisdom of God.So greatly did Peter and Jesus differ at this point that Jesus could say “Get behind me, Satan!” When he said, “You have become a stumbling block to me,” he used a word for an animal trap that was triggered by means of a stick. When the animal brushed that “death stick,” the trap closed on him. Jesus knew that Peter’s well-meaning words were like a “death stick” to God’s plan of salvation. What Should We Learn From This?One final question calls for our attention. What should we make of this episode? What does it say to us today? Let me suggest a few things for our consideration.First, good men sometimes do the devil’s work. Peter was most certainly a good man. His foolish words here cannot cancel his brave statement of faith a few seconds earlier. What a man Peter was! If he was the first to climb the summit of Christ’s Messiahship, he is also the first to fall off the cliff. Though Peter was undeniably right in what he said earlier, he was just as wrong here. So let us learn something about the danger of spiritual presumption. Second, our victories and defeats often come back to back. It is not hard to see why it should be this way. Victories naturally tend to build our confidence. When Peter heard the wonderful things said to him, did it go to his head? I think it probably did. And just as quickly as he rose, so quickly did he fall. And it was his rising that led to his falling. So it will be for all the sons and daughters of Adam. We will be like Elijah winning some great victory on Mount Carmel only to run in fear from Jezebel the next day. And there is always a Jezebel! Satan has lots of Jezebels, lots of traps, lots of “death sticks” to put in our path, and because he is smart, Satan knows that the best time to trap us often comes after some great victory. While we celebrate, our defenses are down, our emotions take over, our guard lowers, and we do things and say things that we later regret.Third, our closest friends may sometimes become our worst enemies. In this case Peter’s loyalty was not in question. What he said was foolish and wrong and reflected wrong thinking, but down deep he truly loved the Lord. That’s what makes this so tricky. We may find that our loved ones unwittingly become dupes of Satan, tools he uses to get us sidetracked spiritually. In fact I daresay that this sort of temptation would more likely come from a husband, a wife, a co-worker, a close friend, a parent, a child, a close relative, or a friend we’ve known forever. In their attempt to “protect” us from what they perceive as danger, they may be Satan’s tools to keep us from doing God’s will.Our Friends May be a “Death Stick”Our close friends sometimes will not understand God’s call on our lives. And in their attempts to dissuade us, they may end up doing the devil’s work. That does not mean we shouldn’t listen to the cautions and honest questions of our loved ones. Sometimes they sense something we have missed. But other times they may be a “death stick” to our attempts to serve the Lord. Consider the young person who senses God’s call the mission field. Such a call is not likely to be well received in every quarter. Some will say, “We have plenty of lost people here in America.” Or “You can make more money and help send more missionaries if you stay home.” Or “I don’t want my grandchildren to grow up in Somalia.” Or “You’re throwing away a good education if you go overseas.” Consider the husband who wants to give more to the Lord’s work this year. But we are in such an economic crisis that giving more seems foolish and even dangerous. A wife may say, “We need all the money we make to pay our bills.” What is the husband to do then? Or a woman in her early 40s may sense God’s call to leave the business world to serve the Lord in a ministry position that pays her a fraction of what she is making now. Her friends think she is nuts. Is she? When we set out to serve the Lord, we can always think of a thousand reasons why we shouldn’t. Or why we should play it safe or take it easy or not be too extreme. If we don’t think of those excuses, our friends will likely think of them for us. And unwittingly our friends may become tools of Satan. Or we may be the same for them. It is so easy to go down, to take the road of least resistance. It is so hard to go up, to take the road that leads to the cross.Not many people will cheer us when we take that road.To return to the story for a moment, how striking that the “rock” should become a “stumbling block” so quickly. As it was for Peter, so it will be for all of us. Our strengths and our weaknesses lie side by side. Often they seem to be interconnected. Sometimes they seem to be welded together. So quickly we rise.So quickly we fall.As I studied this passage, it occurred to me that in some ways this was a greater sin than Peter’s denial. Though it is his denial that we remember and not this occasion, this is the only time Jesus called Peter “Satan.” At the denial Peter hurt himself and he hurt the cause of Christ generally.But here Peter directly (though unwittingly) attacked God’s plan of salvation.Satan did everything he could to keep Christ from the cross.He does everything he can to keep us from taking up the cross.“The Cannibals!”In 1839 two men from the London Missionary Society landed in the New Hebrides, a chain of eighty islands in the South Pacific. Those two missionaries were killed and eaten by cannibals in November of that year. Eventually other missionaries came and the gospel began to take root on some of the islands. Nineteen years later a young man named John Paton set sail for the New Hebrides. When he announced his desire to go, a Mr. Dickson exploded, "The cannibals! You will be eaten by cannibals!" But to this Paton responded:
Mr. Dickson, you are advanced in years now, and your own prospect is soon to be laid in the grave, there to be eaten by worms; I confess to you, that if I can but live and die serving and honoring the Lord Jesus, it will make no difference to me whether I am eaten by Cannibals or by worms; and in the Great Day my Resurrection body will rise as fair as yours in the likeness of our risen Redeemer.
Now that’s some good in-your-face spiritual moxie. It’s the spirit that animates the worldwide Christian movement. You can read more about John Paton in You Will be Eaten by Cannibals!
At this point we should ask some questions:Am I ashamed of the cross of Christ?Am I avoiding the cross myself?Am I blocking someone else from taking their cross?Do I demand that God’s plan make sense before I follow it?A story such as this should cause us all of to pause and think about ourselves, about how quickly we may do the devil’s work without even knowing it. If we live on the level of our emotions, we may find ourselves actually opposing Jesus. If we think that our understanding equals God’s will, we are bound to fall into many grievous errors. And if we think that the way of the cross is not for us, then we ought to ask ourselves if we have ever really trusted in Christ at all.Sometimes our problem boils down to the fact that we want something God doesn’t offer:A padded cross.A shiny cross.A comfortable cross.A cross we can wear under our clothes.A cross without any blood or pain.But that cross exists only in our mind. There is no way of salvation apart from the bloody cross of Jesus for it was on that cross that the wrath of God was satisfied, the price for sin was paid, and our guilt was removed. Oddly enough, Peter’s attempt to “rescue” Jesus would have doomed his own soul. Jesus had to die in order for Peter to be forgiven. The law of the cross is the law of the kingdom. Those who would enter heaven must go by way of the cross of Christ. Apart from him there is no hope, there is no heaven, there is no forgiveness, and there is no salvation. So it will ever be for the followers of Christ. He Never Made This Mistake AgainPeter was a good and great man, and I say that in full recognition of all his faults. We see the grace of God at work because though he falls again and again, he learns from his mistakes. Like most of us, he makes many mistakes, but he generally doesn’t make the same mistake twice. Later on he will stand on the Day of Pentecost in Acts 2, boldly preaching the gospel to some of the very people who crucified our Lord. There he will proclaim that Jesus was delivered up by “God’s set purpose and foreknowledge” and then by the hands of wicked men was put to death (v. 23). Three thousand men will be saved on that day. Peter came to see that the cross was absolutely necessary in God’s plan. So though he makes many other mistakes, he never makes this mistake again.Let me wrap up by noting how close heaven and hell are in the human heart. It’s just a short trip from one to the other. Peter is called blessed in verse 17 and Satan in verse 23. We can one moment be praising God and the next uttering some foolish, unkind, critical remark that would be better left unsaid. We can pray and swear. We can quote Scripture and gossip. We can testify for Jesus and then play the fool in almost the same breath. These things ought not to be, as James pointed out in his epistle, but there they are in all of us. We are all either climbing toward heaven by God’s grace or sliding toward hell on our own. Peter’s story reminds us that it is not one incident alone that makes a life. Though you fall again and again, it is the getting up that marks the true child of God.Aren’t you glad that Peter kept on getting up? I am!Aren’t you glad that Jesus kept on helping him up? I am!Peter was something of a mess, but then so are most of us. He was a shaky rock, a fragile stone, an imperfect disciple whom Christ formed into a rock that in the end could not be shaken. So that’s our hope too. Though we may do the devil’s work from time to time (and suffer for it), the mighty Christ comes to set us right again. Amen.
Forward this message to a friend
Please email us if you are having trouble accessing this email or if the formatting of this message looks incorrect. Let us know what email application you are using (e.g. Outlook, Gmail, Thunderbird, etc.) Also: Please send us a screenshot if you are able to.

© 2008 Keep Believing MinistriesDr. Ray PritchardAll Rights Reserved

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552

จงเป็นนักอธิษฐานเหมือนเนหะมีย์ อ.สมชิต

เทศนา
- พระพรจากชีวิตเนหะมีย์
- คำนำ..... ครั้งที่แล้วเราได้รับพระพรจากเนหะมีย์เรื่องชีวิตที่ห่วงใย ชีวิตที่หนุนใจ
/// วันนี้เราจะมองเห็นพระพรอีกด้านหนึ่งของเนหะมีย์ คือ เรื่องการอธิษฐาน
- เรื่อง .... คำอธิษฐานของเนหะมีย์ 1.1-11
/// ทำไมเนหะมีย์จึงเป็นแบบอย่างของการอธิษฐานของคริสเตียน 4 s
1. Special’s prayer อธิษฐานพิเศษ
- คือ การอธิษฐานพิเศษ โดยการ อดอาหาร ร้องไห้ ค่ำครวญ วิงวอน
เพราะเจ็บปวดใจ มีทุกข์หนัก ทรมานถ้า ผู้ชายร้องไห้เสียน้ำตา เศร้าโศก แสดงว่ามีทุกข์หนัก
/// ชาวยิวเมื่อเขามีภาระหนักจะอดอาหารอธิษฐาน และนุ่งห่มผ้ากระสอบและเอาขี้เถ้าใส่หัว
เป็นภาพที่น่าสงสาร เห็นใจ สภาพที่หมดหนทาง ไม่มีที่พึ่ง เช่น สมัยโยชูวาที่มีชาวเมืองหนึ่ง
ใส่เสื้อผ้าขาดๆเพื่อให้ดูน่าสงสารและใจอ่อน จนโยชูวายอมสาบานไม่ทำลายเมืองนั้น
เช่น โมเดคัย , โยบ , ดาวิด , ( โยบ 2.8 12-13 ) ( อสธ. 4.1-3 )
เช่น ดาวิด อดอาหารเมื่อลูกตาย , เช่น ชายสี่สิบคนที่จะฆ่าเปาโล,โมเดคัยกำลังจะถูก
ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ยิว
/// แต่เนหะมีย์ ได้อธิษฐานและอดอาหารอย่างจริงจังต่อพระเจ้า ร้องไห้เช้า ค่ำ
- เมื่อได้ฟังข่าวร้าย มองเห็นสภาพของประเทศชาติและประชาชนที่ไร้ประเทศ กำแพงเมืองก็พัง ประเทศน่าอดสู น่าอับอาย น่าสมเพช
เช่น หนังเรื่องพระนเรศวร ที่ตกเป็นเชลยที่พม่า คิดถึงบ้าน อยากเป็นอิสระและกลับไปสร้างชาติ สร้างประเทศ
/// การประยุกต์ใช้
- คริสเตียนควรอธิษฐานพิเศษ( อดอาหาร)ผิดหรือไม่ และควรอธิษฐานอย่างไร ทำไมเราต้องทำ
/// ไม่ผิด ไม่มีข้อห้าม แต่ควรจะทำ แต่ไม่ต้องให้ใครรู้ ไม่ทำเผื่ออวด หรือ หวังผลผิดๆ
และไม่ควรทำเมื่อเราไม่ได้อธิษฐานทุกๆวันเป็นประจำ , พระเจ้ามองที่ใจและท่าที
- อย่าทำเพื่ออวดเหมือนพวกฟารีสี ที่พระเจ้าทรงตำหนิ เกลียดชังและหน้าซื่อใจคต
/// มธ.6 .5-6 16-18 เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อจะให้คนทั้งปวงได้เห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว 6ฝ่ายท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน และเมื่อปิดประตูแล้ว จงอธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับจะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน เมื่อท่านถืออดอาหาร อย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนคนหน้าซื่อใจคด ด้วยเขาทำหน้าให้มอมแมม เพื่อจะให้คนเห็นว่าเขาถืออดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้บำเหน็จของเขาแล้ว 17ฝ่ายท่านเมื่อถืออดอาหาร จงล้างหน้าและเอาน้ำมันใส่ศีรษะ 18เพื่อคนจะไม่ได้รู้ว่าถืออดอาหาร แต่ให้ปรากฏแก่พระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดาของท่าน ผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับจะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน

- จงอธิษฐานพิเศษ คือ วิงวอน และจริงจังและจริงใจต่อพระเจ้า ฟป 4.6
2. Submits prayer อธิษฐานด้วยการยอมจำนน และสำนึกผิด ข. 5-6-10
- คือ เนหะมีย์ได้ยอมจำนนต่อพระเจ้า ถวายตัวของท่านให้พระเจ้า สารภาพบาปตัวเองและชนชาติ
สำนึกผิด ยอมรับผิด และมอบความทุกข์ใจและปัญหาอุปสรรคทุกอย่างไว้กับพระเจ้ายิ่งใหญ่
และทรงเปี่ยมด้วยความรักความเมตตา ต่อ คนบาป
เช่น อะไรจะเกิดขึ้นสุดแท้แต่น้ำพระทัยของพระเจ้า เช่น พระเยซูอธิษฐานยอมจำนนรับถ้วยความตาย และ เช่น เปาโลยอมจำนนสุดแท้แต่พระเจ้าจะทรงใช้ไป อยู่ก็เพื่อพระคริสต์ ฟป.1.20-21
เช่น ท่านอิสยาห์ ข้าพเจ้าอยู่นี่พร้อมยอมจำนนทุกประการ อสย.6.8
/// การประยุกต์ใช้
- เราเคยอธิษฐานด้วยการยอมจำนนและวางใจจริงๆไหม หรือ สงสัย กังวล วิตก ไม่แน่ใจ
- เราต้องยอมจำนนต่อพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง และทุกๆสิ่ง และด้วยใจสำนึกผิดและยอมรับว่า
เราอ่อนแอ เราต้องการมาพึ่งพระเจ้า วางใจและมีสันติสุขในใจเสมอ ไม่กังวล
- อย่าเหมือนบางคนที่ ไม่เคยถวายตัว ไม่ยอมจำนน ก็ยากที่จะเป็นที่พอพระทัย
จงทำเหมือนเนหะมีย์ บอกกับพระเจ้า ข้าพเจ้าเป็นคนบาป พวกเราทำผิด พวกเรา
ไม่มีที่พึ่งพา ไม่มีสติปัญญา ไม่มีอำนาจ ไม่มีทางออก ไม่มีใครอีกแล้ว
- พระเจ้าพร้อมจะช่วยเราเสมอ เหมือนพร้อมจะช่วยเนหะมีย์ จงยอมจำนนต่อพระเจ้าและมอบภาระนั้นให้กับพระเจ้า และอย่าเอาคืน คือ ต้องมอบจริงๆ ไม่ใช่มอบแต่ปาก หรือ เพราะอารมณ์

3. Specific’s prayer อธิษฐานด้วยการเฉพาะเจาะจง ข.9-11
11ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเงี่ยพระกรรณฟังคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ และต่อคำอธิษฐานของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้ปีติยินดีที่ยำเกรงพระนามของพระองค์ ขอประทานความสำเร็จแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ในวันนี้ และขอทรงโปรดให้เป็นที่ชอบในสายตาของชายคนนี้” ขณะนั้น ข้าพเจ้าเป็นพนักงานเชิญถ้วยเสวยของพระราชา
- คือ เนหะมีย์ได้เน้นเจาะจง ว่าท่านต้องการอะไรและทำไมและเมื่อไรพร้อมรายละเอียด
// ท่านขอ ความสำเร็จหรือทรงตอบคำอธิษฐานวันนี้ และทางคนนี้และทรง
ประทานสิ่งเหล่านี้ด้วย ท่านขอด้วยความแน่ใจ มั่นใจ และพระเจ้าทรงตอบ
และทรงเพิ่มให้อีก
เช่น ในพระคัมภีร์เดิม คนใช้ของอับราฮัมได้อธิษฐานขออย่างเจาะจง
และพระเจ้าทรงตอบอย่างเจาะจงและชัดเจน ปฐก.24.42-49
เช่น นางฮันนา ขอและเน้นด้วย คือ ผู้ชายและเป็นผู้รับใช้ตลอดชีวิต
เช่น พระเยซูทรงอธิษฐานเลือกสาวก คืนยังรุ่ง และตอนที่จะถูกตรึงขอ สามครั้ง
เช่น เนหะมีย์ เน้นการกลับไปสร้างกำแพงให้เสร็จและรวบรวมประเทศ สร้างชาติ
( 2:4-8) แล้วพระราชาตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าปรารถนาจะขออะไร” ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าของฟ้าสวรรค์ 5และข้าพเจ้าทูลพระราชาว่า “ถ้าเป็นที่พอพระทัยพระราชา และถ้าผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเป็นที่ พอพระทัยในสายพระเนตรของฝ่าพระบาท ขอทรงใช้ข้าพระบาทให้ไปยังยูดาห์ ยังเมืองอันเป็นที่ฝังศพของบรรพบุรุษของข้าพระบาท เพื่อข้าพระบาทจะสร้างขึ้นใหม่” 6และพระราชาตรัสกับข้าพเจ้า (มีพระราชินีประทับข้างพระองค์) ว่า “เจ้าจะไปนานสักเท่าใด เมื่อไรเจ้าจะกลับมา” จึงเป็นที่พอพระทัยพระราชาที่จะให้ข้าพเจ้าไป และข้าพเจ้าก็กำหนดเวลาให้พระองค์ทรงทราบ 7และข้าพเจ้ากราบทูลพระราชาว่า “ถ้าเป็นที่พอพระทัยพระราชา ขอทรงโปรดมีพระราชสารให้ข้าพระบาทนำไปถึงผู้ว่า ราชการมณฑลฟากตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส เพื่อเขาจะได้อนุญาตให้ข้าพระบาทผ่านไป จนข้าพระบาทจะไปถึงยูดาห์ 8และพระราชสารถึงอาสาฟเจ้าพนักงานป่าไม้หลวง เพื่อเขาจะได้ให้ไม้แก่ข้าพระบาท เพื่อทำวงกบประตู ป้อมของพระนิเวศ และทำกำแพงเมือง และเพื่อทำบ้านที่ข้าพระบาทจะได้เข้าอาศัย” พระราชาพระราชทานทุกสิ่งตามที่ข้าพเจ้าทูลขอ เพราะพระหัตถ์อันทรงพระคุณของพระเจ้าของข้าพเจ้าอยู่กับข้าพเจ้า

/// ประยุกต์ใช้
- เราต้องอธิษฐานอย่างเจาะจง มีเป้าหมาย และเน้นงานของพระเจ้า และความรอด
เพราะเป็นแผนการและน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าทรงพอพระทัยแน่นอน
เช่น ตัวเราเองอยากเติบโต อยากรับใช้ อยากเปลี่ยนแปลงชีวิต
เช่น อยากเรียนอะไร อยากทำงาน อยากแต่งงาน อยากให้ใครรับเชื่อ
เช่น อยากรู้น้ำพระทัย อยากเปิดงานใหม่ ปลูกคริสตจักร เป็นมิชชันนารี
- บางครั้งเราเห็นพฤติกรรมชีวิต ของคนใกล้ชิดให้อธิษฐานเจาะจง ว่าพระเจ้าจะ เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา
เช่น คนที่ไม่ค่อยมาโบสถ์ คนหลงหาย ลูกๆยังไม่รับเชื่อและ สามี ภรรยา ที่ยังไม่รับเชื่อ ญาติพี่น้อง หรือ ต้องการอยากมีสามี หรือ ภรรยา ต้องบอกเจาะจง จริงจัง อย่ากลัว อย่าเขินอาย
(และอย่าเป็นเหมือนบางคนที่เจาะจงว่า ถ้าใครใส่เสื้อแดงมาโบสถ์ก็จะเลือกคนนั้น )
4. Spend time ;s prayer การให้เวลาสละเวลาในการอธิษฐานอย่างต่อเนื่อง
- คือ ท่านเนหะมีย์ได้ทุ่มเทเวลา เสียสละเวลา ให้ความสำคัญ
เพราะไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ เร็วๆ ต้องคอย ต้องอดทน ไม่ล้มเลิก ไม่ท้อ
เช่น ท่านเนหะมีย์ได้รอคอย สี่เดือน 2.1 อับราฮัมหลายๆปีที่ขอลูก
เช่น นางฮันนา ใช้เวลาเป็นปี

/// ประยุกต์ใช้
- เราเคยให้เวลา ให้ความสำคัญกับการอธิษฐานมากแค่ไหน เพราะสำคัญที่สุด
- เราต้องให้เวลาในการอธิษฐานมากขึ้น และ ให้เป็นอันดับแรกของชีวิต
- พระเจ้าทรงอวยพระพรประเทศเกาหลีมีคริสเตียนมาก เพราะการอธิษฐาน
คริสตจักรเน้นการอธิษฐาน เปิดทุกๆวัน ไม่ใช่เฉพาะวันอาทิตย์
และอธิษฐาน แต่เช้ามืด แต่เช้าตรู่ ทำให้จิตวิญญาณเข้มแข็ง ( มีบางคนบอกว่า ถ้าเรารักพระเจ้าจริงๆ ทำไมเราจะเสียสละอธิษฐานตีสามตีสี่ไม่ได้ )
- พระเจ้าจะทรงเสริมกำลังเราทางการอธิษฐาน หนุนใจ และให้ทางออกสติปัญญา
และทรงเปิดเผนแผนการ น้ำพระทัย ตอบคำอธิษฐานของเรา
สรุป..... พระพรจากชีวิตแห่งการอธิษฐานของเนหะมีย์ หนุนใจและท้าทาย และนำไปใช้ได้ทันที
- โดย การอธิษฐานพิเศษ ,จำนน วางใจ,เฉพาะเจาะจง,อุทิศสละเวลาให้ความสำคัญ
และพระเจ้าทรงตอบและประทานทุกสิ่งที่ท่านขอ 2.8 พระหัตถ์พระเจ้าอยู่กับท่าน
และ 6.9,14 ท่านยังอธิษฐานขอพึ่งพระเจ้าต่อไป ไม่ใช่ได้แล้วหยุด
และเมื่อท่านเป็นผู้นำที่อธิษฐาน ประชาชนก็ทำตามและอธิษฐาน สารภาพบาป 3 ชั่วโมง 9.3
- วันนี้ให้พระเจ้าทรงให้แบบอย่างของเนหะมีย์ เพื่อสั่งสอนเราและหนุนใจท้าทายเราให้อธิษฐาน

มาสำรวจปฐมกาล โดย อ. ธวัช เย็นใจ

พระธรรมปฐมกาล ปฐก. ๑.๑-๒.๓
“ในปฐมกาลพระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งในฟ้าสวรรค์และโลก ขณะนั้นโลกยังไม่มีรูปทรงและว่างเปล่าความมืดปกคลุมอยู่เหนือห้วงน้ำ พระวิญญาณของพระเจ้าทรงเคลื่อนไหวอยู่เหนือน้ำนั้น” ปฐก. ๑.๑-๒ [1]
พระคริสตธรรมคัมภีร์ หนังสือที่ได้รับการดลใจ : ผู้ที่เป็นคริสเตียนมีความเชื่อว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นหนังสือที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม” (๒ ทธ. ๓.๑๖) คำว่า “ดลใจ” (Inspired by God) ในพระคัมภีร์เดิมภาษาฮีบรู “Neschamah” คือ “ลมหายใจขององค์ ผู้ทรงมหิทธิฤทธ์”(โยบ ๓๒.๘) ในพระคัมภีร์ใหม่ “ธีโอนิวตอส” (Theopneustos) มีความหมายว่า “พระเจ้าทรงระบายลมหายใจ” (God-breathed) ดังปรากฏอยู่ในพระธรรม ๒ ทิโมธี ๓.๑๖[2] ความสอดคล้อง : จากการศึกษาอย่างละเอียดทำให้เราพบว่า หนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์จำนวน ๖๖ เล่ม(ประกอบด้วยภาคพันธสัญญาเดิม ๓๙ เล่ม และภาคพันธสัญญาใหม่ ๒๗ เล่ม) มีเนื้อหาสาระที่สอดคล้องต้องกันเป็นเสมือนห่วงโซ่ที่ร้อยเรียงต่อเนื่องอย่างไม่ขาดตอน มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งนี้เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ทรงดลใจให้มนุษย์มีความสามารถในการเขียนและเข้าใจ อัครสาวกเปโตรกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจข้อนี้ก่อน คือผู้หนึ่งผู้ใดจะตีความหมายคำของผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เอาเองไม่ได้ เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะนั้น ไม่ได้มาจากความคิดในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจเขา” (๒ ปต. ๑.๒๐-๒๑) ผู้เขียน : นักศาสนศาสตร์ลงความเห็นสอดคล้องกันว่า โมเสสเป็นผู้เขียนพระธรรมปฐมกาล รวมไปถึงพระคัมภีร์ห้าเล่มแรกที่เรียกว่า “เบญจบรรณ” ในภาษาเดิมเรียกว่าโทราห์ (Torah) ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปฐมกาล อพยพ เลวีนิติ กันดารวิถี และเฉลยธรรมบัญญัติ พระคัมภีร์กล่าวว่า “โมเสสจึงจารึกพระวจนะของพระเจ้าไว้ทุกคำ” (อพย. ๒๔.๔) “โมเสสได้เขียนจดหมายนี้และมอบให้แก่ปุโรหิตบุตรหลานของเลวี...” ( ฉธบ. ๓๑.๙) ในพระคัมภีร์ใหม่เราพบว่า พระเยซูคริสต์ทรงยอมรับว่าหนังสือห้าเล่มแรกได้รับการดลใจมาจากพระเจ้า ในพระกิตติคุณพระองค์ทรงอ้างบ่อยๆถึงหนังสือเบญจบรรณของโมเสส “เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงประทานธรรมบัญญัติทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์” (ยน. ๑.๑๗ ดู มก. ๑๒.๑๙, ลก.๔.๑๖-๑๗, มธ. ๑๙.๔-๘, มก. ๑๐.๓-๙, ยน. ๗.๒๑-๒๓ )การเขียน/วันเวลา : จากการศึกษาค้นคว้าของนักการศึกษาพระคัมภีร์ได้พบว่า โมเสสได้เขียนปฐมกาลขณะที่ท่านพาชนชาติอิสราเอลอพยพและรอนแรมอยู่ในทะเลทรายมีเดียน ภายหลังจากที่พบกับพระเจ้า ณ ภูเขาซีนายแล้ว คาดว่าน่าจะเขียนขึ้นในระหว่างปี กคศ. ๑๔๔๕-๑๔๐๕ โจซีฟัสซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของชาวยิวในอดีต ก็เชื่อเช่นเดียวกันว่ามีหนังสือพระคัมภีร์ห้าเล่มที่โมเสสได้เขียนขึ้นในช่วงที่พาชนชาติฮีบรูอพยพออกจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ และเดินทางอยู่ในทะเลทรายเป็นเวลา ๔๐ ปี ก่อนที่จะเข้าสู่แผ่นดินแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า ซึ่งเรียกว่าหนังสือเพนเตตุ๊ค (Pentateuch) ชื่อของหนังสือ : ปฐมกาล (Genesis) มาจากภาษาฮีบรูว่า “เบรชิทห์” (Breshith) ซึ่งในภาษากรีกหมายถึง “การเริ่มต้น” ในภาษาลาตินหมายถึง “ต้นกำเนิด” แต่อย่างไรก็ตามขอให้ผู้อ่านหนังสือเล่มนี้ได้เข้าใจว่า จุดประสงค์ของปฐมกาลไม่ใช่เป็นอธิบายเรื่องราวของหนังสือวิทยาศาสตร์ แต่เป็นหนังสือที่แนะนำให้เราได้รู้จักพระเจ้าพระผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่สูงสุดโครงสร้างของพระธรรมปฐมกาล ๑) เรื่องราวของพระเจ้ากับมนุษยชาติ - พระเจ้าทรงสร้างโลก (บทที่ ๑-๒) - มนุษย์ผิดพลาดและตกลงในความผิดบาป (บทที่ ๓-๕) - เหตุการณ์น้ำท่วมโลก (บทที่ ๖-๙) - กำเนิดชนชาติต่างๆ (บทที่ ๑๐-๑๑) ๒) เรื่องราวพระเจ้ากับชนชาติอิสราเอล - เรื่องราวของอับราฮัม (บทที่ ๑๒-๒๓) - เรื่องราวของอิสอัค (บทที่ ๒๔-๒๖)- เรื่องราวของยาโคบ (บทที่ ๒๗-๓๖) - เรื่องราวของโยเซฟ (บทที่ ๓๗-๕๐) การเนรมิต(สร้าง) สิบเอ็ดบทแรก : พระธรรมปฐมกาลใน ๑๑ บทแรกนี้เป็นส่วนที่มีความสำคัญมากสำหรับคริสเตียน (พระคัมภีร์เดิมและใหม่มี ๑,๑๘๙ บท) เพราะได้กล่าวถึงว่าพระเจ้าทรงเนรมิตโลกและจักรวาล พร้อมกับเริ่มสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกนี้ มีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์ตอนนี้ คือ อาดัม เอโนค และโนอาห์ เรื่องที่น่าสนใจมากก็คือ เป็นพระคัมภีร์เพียงตอนเดียวที่กล่าวถึงของพระเจ้าทรงหยุดพักพระราชกิจของพระองค์ “วันที่เจ็ดพระเจ้าทรงเสร็จงานของพระองค์ที่ทรงกระทำมานั้น ในวันที่เจ็ดนั้นก็ทรงพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำ พระเจ้าจึงอวยพระพรแก่วันที่เจ็ด ทรงตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะในวันนั้พระองค์ทรงหยุดพักจากการงานทั้งปวงที่พระองค์ทรงกระทำในการเนรมิตสร้าง” (๒.๒-๓)การทรงสร้าง : พระธรรมปฐมกาลได้กล่าวถึงพระราชกิจแห่งการสร้าง เราอ่านพบว่า อาดัมเป็นมนุษย์คนแรกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น และคาอินเป็นมนุษย์คนแรกที่คลอดจากครรภ์มารดา (๑.๒๖, ๔.๑) ส่วนอาแบลเป็นมนุษย์คนแรกที่ต้องตาย และเอโนคเป็นคนแรกที่ไม่ได้พบกับความตาย(๔.๘,๕.๒๔) นอกจากนั้นเรายังได้พบเรื่องราวของงู กาและนกพิราบ (๓.๑, ๘.๗,๙) คนที่มีอายุยืนที่สุดในโลกคือ เมธูเซลาห์ เขามีอายุยาวนานถึง ๗๘๒ ปี แต่นักศาสนศาสตร์บางคนบอกว่าเมธูเซลาห์มีอายุยืน ๙๖๙ ปี (๔.๑๗,๕.๒๗) ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอย่างยิ่ง คือ การสมรสครั้งแรกของโลกอีกด้วย นักการศึกษาพระคัมภีร์บางคนพยายามอธิบายว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ประกอบพิธีแต่งงานและให้โอวาท ส่วนแขกเหรื่อที่มาเป็นเกียรติในงานก็เป็นพวกสัตว์นานาชนิด และอาหารบุฟเฟ่ก็ได้แก่ผลไม้อันดกดื่นที่มีอยู่ในสวนเอเดนนั้นเองสิ่งสำคัญในพระธรรมปฐมกาล : ประการแรก เราได้เห็นความยิ่งใหญ่แห่งการทรงสร้างอย่างอัศจรรย์ของพระเจ้า “ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” (๑.๑) ประการที่สอง แม้ว่ามนุษย์คู่แรก (อาดัมกับเอวา)ได้ทำความผิดบาป ไม่เชื่อฟังพระดำรัสสั่งและหลงทางไป แต่พระเจ้าทรงไว้ช่วยกู้โดยผ่านทางชายผู้ชอบธรรมคนหนึ่งชื่อโนอาห์ (๖.๘) และท้ายสุดพระคุณและความรอดนั้นมาทาง “พงศ์พันธ์ของหญิง” (๓.๑๕) คือพระเยซูคริสต์ ยอห์นได้บอกความจริงในเรื่องนี้ว่า “พระวาทะ(พระเยซู)ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง” (ยน. ๑.๑๔)ประการที่สาม ในพระธรรมปฐมกาลเราได้เห็นถึงความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ ประการที่สี่ ในขณะเดียวกันความรุ่งเรืองก็มาพร้อมกับความโหดร้ายทารุณ มีฆาตกรคนแรกของโลกโผล่หน้าออกมา “เมื่อยู่ที่นาด้วยกัน คาอินก็โถมเข้าฆ่าอาแบลน้องชายของตนเสีย”(๔.๘) แต่ถึงกระนั้นก็มีพระสัญญาของพระเจ้าไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วถึงผู้ไถ่ซึ่งจะเสด็จมาช่วยให้รอด (๓.๑๕) ประการที่ห้า เมื่อมนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้าผู้สร้างก็เริ่มหันไปนับถือศาสนาที่ตนเองสร้างขึ้น เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่อาดัมกับเอวาซึ่งเป็นมนุษย์คู่ของโลกได้เชื่อฟังคำของมารซาตานที่เข้ามาในคราบของงู และล่อลวงให้ทำความผิดบาป พระคัมภีร์บอกว่า พวกเขาจึงไปเอา “ใบมะเดื่อ” มาเย็บเป็นเสื้อผ้าปกปิดร่างกาย (ใบมะเดื่อเปรียบเหมือนกับศาสนาที่สอนให้มนุษย์ปกปิดความผิดบาป และพึ่งในคุณงามความดีของตนเอง) และการที่พระเจ้าทรงประทานเสื้อผ้าที่ทำด้วยหนังสัตว์ (ซึ่งต้องมีการฆ่าแกะ)ให้แก่คนทั้งคู่นั้น เป็นภาพของการที่พระเยซูคริสต์ทรงยอมตายเพื่อไถ่โทษบาป (๓.๗,๒๑) “พระเยซูเสด็จเข้าไปวิสุทธิสถานเพียงครั้งเดียว และพระองค์ไม่ได้ทรงนำเลือดลูกแกะแพะและลูกวัวเข้าไป แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เข้าไปและทรงสำเร็จการไถ่บาปนิรันดร์...พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงถวายพระองค์เองแด่พระเจ้าโดยทางพระวิญญาณนิรันดร์ เป็นเครื่องบูชาที่ปราศจากตำหนิ ก็จะทรงชำระได้มากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด... ถ้าไม่มีโลหิตไหลออกแล้ว ก็จะไม่มีการอภัยบาปเลย” (ฮร. ๙.๑๒.๑๔,๒๒)ประการที่หก เมื่อโลกนี้เต็มไปด้วยความชั่วร้าย พระเจ้าทรงลงโทษด้วยการให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่คนผิดบาปตายหมด แต่ด้วยพระคุณของพระเจ้าทรงให้มีรอดเพียงครอบครัวเดียว มีจำนวน ๘ คนด้วยเรือที่พระเจ้าทรงบอกให้โนอาห์สร้างขึ้น ลอยอยู่ในน้ำเป็นเวลานานแรมปี และด้วยนาวานั้นได้ช่วยแปดคนให้รอดชีวิต และในที่สุดเรือก็มาค้างอยู่บนเทือกเขาอารารัต (๘.๔)แต่ถึงกระนั้นเราก็พบว่า หลังจากน้ำลดลงจากแผ่นดินแล้ว มีการเพาะปลูกอย่างอุดมสมบูรณ์ และในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยเช่นนี้ ทำให้โนอาห์ที่ได้ชื่อว่าคนชอบธรรมกลายเป็นขี้เหล้าเมายาไปได้เหมือนกัน (๗.๒๑, ๙.๒๐-๒๑) ประการที่เจ็ด ในปฐมกาลบทที่ ๑๑ มนุษย์ทวีมากขึ้นอีกครั้ง พวกเขารวมตัวกันสร้างหอบาเบลที่สูงเทียมฟ้า ด้วยจุดประสงค์เพื่อจะไม่ต้องพลัดพรากจากกันอีก แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้มันพังทลายลง(๑๑.๑-๔) เพราะความคิดและความตั้งใจของพวกเขาไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์ที่ตรัสสั่งว่า “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน” (๑.๒๘) คำสอนในปฐมกาล ๑) มีพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว ๒) พระเจ้าทรงมีแผนการสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ๓) ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ ๔) ความผิดบาปมีจริง ๕) พระเจ้าทรงเป็นพระผู้ไถ่โทษมนุษย์ให้พ้นจากความผิดบาป พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างทุกสิ่ง เนรมิต : พระคัมภีร์ข้อแรกบอกว่า “ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” (๑.๑) ในภาษาฮีบรูได้ให้ความหมายของคำว่า “ทรงสร้าง” คำแรกคือ “บารา” (Bara) หมายถึงการสร้างโดยไม่ใช้วัสดุ หรือสร้างจากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลย (๑.๑, ๒๑, ๒๗ ๒.๔) คำที่สอง “อาซาห์” (Asah) หมายถึง การสร้างโดยใช้วัสดุที่มีอยู่ก่อนแล้ว (๑.๑๖, ๒๕, ๒๖, ๒.๒) คำที่สาม “ยัทซอร์” (Yatsor) หมายถึง การปั้นบางสิ่งบางอย่าง (๒.๗, ๑๙) และอีกคำคือ “บานาห์” (Banah) หมายถึงการสร้าง (๒.๒๒)[3] แผ่นดินโลก : พระคัมภีร์ข้อต่อมาบอกว่า “แผ่นดินก็ว่างเปล่า” (๑.๒) คำนี้ในภาษาฮีบรูหมายถึง “สับสน ว่างเปล่า ไม่มีรูปร่าง ไม่มีระเบียบ” พระคัมภีร์ฉบับคิงเจมส์แปลดังนี้ “แผ่นดินโลกก็ปราศจากรูปร่างและว่างเปล่าอยู่” แต่มีสิ่งหนึ่งที่เคลื่อนไหวอยู่เหนือสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นนั้น คือ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ฟ้าสวรรค์ : ในพระธรรมปฐมกาลใช้คำว่า “ฟ้า” ในบทที่ ๑.๑ นั้นภาษาฮีบรูหมายถึงสองอย่างคือ ฟ้าและสวรรค์ จากการศึกษาในพระคัมภีร์เราพบว่า ฟ้าสวรรค์ชั้นที่ ๑ เป็นที่อยู่ของนกและเมฆ (ดนล. ๔.๑๒) ฟ้าสวรรค์ชั้นที่ ๒ เป็นที่ตั้งของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวต่างๆ (สดด. ๑๙.๑) ฟ้าสวรรค์ชั้นที่ ๓ เป็นที่อยู่ของเหล่าทูตสวรรค์และธรรมิกชนที่จากโลกนี้ไปแล้ว ซึ่งนักศาสนศาสตร์เชื่อว่า เปาโลได้ขึ้นไปโดยบอกว่าถึงตนเองว่า “ข้าพเจ้ารู้จักชายคนหนึ่งที่เลื่อมใสในพระคริสต์มาสี่สิบปีแล้ว เขาได้ถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม..เขาถูกรับขึ้นไปยังเมืองบรมสุขเกษม” (๒ คร. ๑๒.๒-๓) เมื่อเร็วๆนี้ได้เกิดการฟื้นฟูจิตวิญญาณครั้งใหญ่ที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ แกนนำของการพลิกฟื้นชุมชน[4]อ้างว่า “ผู้นำห้าคนจากบ้านนาไคร้ได้กลับไปยังหมู่บ้านของตน และมีการนักพบเพื่ออธิษฐานของพระเจ้าทรงพลิกฟื้นหมู่บ้านโดยเชื่อว่า ถ้าพระเจ้าทรงสามารถทำงานในฟิจิได้ พระองค์ก็ทรงทำงานในนาไคร้ได้ด้วย พวกเขาอธิษฐานกันเป็นประจำ หลังจากนั้นในตอนกลางเดือนมกราคม ๒๐๐๗ ในขณะนมัสการพระเจ้าทรงเริ่มสำแดงด้วยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆเป็นนิมิต การหายโรค การพูดภาษาแปลกๆ การที่มีบางคนได้ไปสวรรค์ และคนที่กลับใจเสียใหม่จากความบาป คนที่เกเรก็กลับมาหาพระเจ้า ที่คริสตจักรนาไคร้เมื่อหลายปีก่อนเหลือสมาชิกเพียงสิบกว่าคน ได้มีคนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเวลานี้มี ๘๐ ครอบครัว และหมู่บ้านนี้มีชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ ๑๑๐ ครอบครัว” การทรงสร้างในวันที่หนึ่ง พระเจ้าทรงสร้างความสว่าง กลางวันและกลางคืน (๑.๓-๕) “พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี” (๑.๔) ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่ง ก็ใช้คำเดียวกันนี้ “ทรงเห็นว่าดี” (๑๐,๑๒,๑๘,๒๑,๒๕, และ ๓๑) เปาโลได้มองเห็นภาพแห่งการทรงสร้างของพระเจ้าอย่างชัดเจน และนำมาเปรียบเทียบกับการสร้างชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของคริสเตียน “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (๒ คร. ๔.๖) พระเจ้าทรงสร้างจักรวาล : พระองค์ทรงสร้างเอกภพ เนบิวลา กาแลกซี ดาราจักร ดาวหาง ทางช้างเผือก ผีพุ่งไต้หรือดาวตก อุกาบาตร ดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ รวมไปถึงพลังงานต่างๆ (เช่นพลังงานนิวเคลียร์) เป็นการเริ่มต้นของโลกที่หมุนรอบแกนของตนเอง มีแรงดึดดูดและแรงโน้มถ่วงของโลกด้วย โดยเฉพาะดาวเคราะห์นั้นเป็นบริวาร อันมีดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน ส่วนดาวพลูเพิ่งถูกสมาคมนักดาราศาสตร์ตัดออกไปจากระบบ เพราะขาดคุณสมบัติการเป็นศูนย์กลางในตัวเอง ทูตสวรรค์ : นักศาสนศาสตร์หลายคนลงความเห็นสอดคล้องต้องกันว่า พระเจ้าทรงสร้างบรรดาทูตสวรรค์ขึ้นในช่วงนี้ พระวิญญาณ : พระธรรมปฐมกาลได้บันทึกถึงการสถิตอยู่ด้วยของพระวิญญาณ “พระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น” (๑.๒) ดังนั้น เราจะเห็นอย่างชัดเจนว่า พระวิญญาณไม่ได้เป็นพระเจ้าอีกองค์หนึ่งต่างหาก หรือเสด็จมาภายหลัง หรือมาเฉพาะในวันเพนเตคอสเท่านั้น แต่พระองค์เป็นพระเจ้าแห่งตรีเอกานุภาพ ที่สถิตอยู่ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก วันหนึ่งมีกี่ชั่วโมง? : มีนักการศึกษาพระคัมภีร์หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า วันเวลาที่กล่าวถึงในพระธรรมปฐมกาลบทที่ ๑-๒ นั้นมี ๒๔ ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น เขาให้เหตุผลว่า เพราะถ้าพระเจ้ายังไม่ได้สร้างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็จะไม่สามารถนับวันเวลาเหมือนปัจจุบันได้ เรื่องนี้ควรจะเปิดเป็นกระเด็นอภิปรายในกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ต่อไปคนทั่วไปจะเริ่มนับวันเป็นเวลาเช้าและเวลาเย็น แต่ขอให้ดูวันเวลาที่บันทึกในพระคัมภีร์ตอนนี้ จะพบว่าชาวยิวได้นับวันเวลาแตกต่างจากชาติอื่นๆ โดยเริ่มต้นที่ “เวลาเย็นและเวลาเช้า” (ปฐก. ๑.๕,๘,๑๓,๑๙,๒๓,๓๑ อพย. ๑๒.๑๘, ลวต. ๒๓.๓๒)การทรงสร้างในวันที่สอง การทรงสร้างฟ้า : พระเจ้าทรงสร้างฟ้า (๑.๖-๘) ในข้อที่ ๖ เราจะพบคำว่า “ภาคพื้น” (ภาษาฮีบรูว่า Raqia) ควรจะแปลว่า “บรรยากาศ” ซึ่งหมายถึงที่โล่งของบรรยากาศซึ่งอยู่รอบโลก และบรรยากาศนี้ได้อุ้มน้ำไว้จำนวนมหาศาล ซึ่งจะทำให้ฝนตกลงมายังพื้นโลกในเวลาต่อมา แยกน้ำ : พระเจ้าทรงแยกน้ำออกจากกัน คือมีการแยกน้ำออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นน้ำที่อยู่ตามพื้นดินซึ่งสามารถมองเห็นได้ ส่วนที่สองเป็นน้ำที่อยู่ในอากาศซึ่งมองไม่เห็น หนังสือ “โลกดาวเคราะห์สีน้ำเงิน” บันทึกว่า “โลกเป็นดาวเคราะห์ที่ชุ่มไปด้วยน้ำ มีชั้นบรรยากาศห่อหุ้ม ทำให้อุณหภูมิกลางวันกับกลางคืนไม่ต่างกันนัก มีสัดสวนของก๊าซต่างๆที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิต ในขณะที่ดาวเคราะห์ดวงอื่นที่นักดาราศาสตร์และนักบินอวกาศค้นพบและบินไปสำรวจไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้”[5] รัศมีของโลกวัดจากขั้วโลกยาวประมาณ ๖,๓๘๖ กม. วัดจากเส้นศูนย์สูตรยาวราว ๖,๓๗๘ กม.และโคจรด้วยความเร็วราว ๓๐ กม.ต่อวินาที โลกมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๒,๗๕๖ กม. หมุนรอบตัวเองกินเวลา ๒๓.๕๖ ชั่วโมง หมุนรอบดวงอาทิตย์ ๓๖๕.๒๕ วัน หมุนจากทิศตะวันตกไปทางตะวันออก (ทวนเข็มนาฬิกา) หนึ่งรอบใช้เวลาประมาณ ๒๔ ชม. (๒๓ ชม. ๕๖ นาที ๔.๐๙๐๖ วินาที) โดยแกนของโลกเอียงทำมุม ๒๓.๕ องศากับแนวดิ่งคงที่ตลอด พื้นผิวโลกมีน้ำปกคลุมเกนกว่า ๗๐ % นั่นหมายความว่าราว ๔ ล้านตารางกิโลเมตรของพื้นโลกเป็นมหาสมุทร แม่น้ำและลำคลอง การทรงสร้างวันที่สาม พระเจ้าทรงสร้างทะเล แผ่นดินและพืชผัก (๑.๙-๑๓) พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงการแยกพื้นดินกับน้ำแต่เดิมนั้นน้ำปกคลุมโลกอยู่ พระเจ้าทรงสั่งให้น้ำไหลมาอยู่รวมกันเรียกว่าทะเลหรือมหาสมุทร และมีที่ดินแห้งปรากฏขึ้นเรียกว่า “แผ่นดิน” แล้วพระเจ้าทรงสร้างพืชผักต่างๆ ขอให้สังเกตในพระคัมภีร์ตอนนี้ว่า พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง “ตามชนิดของมัน” การทรงสร้างวันที่สี่ พระเจ้าทรงสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว และฤดูกาล (๑.๑๔-๑๙) ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ : สิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดบนโลกต้องอาศัยความร้อนและพลังงานจากดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ใหญ่กว่าดวงจันทร์ ๔๐๐ เท่า และอยู่ห่างจากโลก ๑๕๐ ล้านกิโลเมตร ดังนั้นดวงอาทิตย์เป็นตัวกำหนดอุณหภูมิของโลก ส่วนดวงจันทร์เป็นตัวกำหนดน้ำขึ้นน้ำลง มันโคจรรอบโลกทุกๆ ๒๙ วันครึ่ง ยานอากาศสามารถเดินทางจากโลกไปถึงดวงจันทร์ในปี ๑๙๖๙ โดยใช้เวลาประมาณ ๖ วัน ดาว : บางดวงเล็กบางดวงใหญ่ มีจำนวนนับพันๆล้านดวง อยู่ห่างไกลจากโลกมาก จึงมองเห็นได้เฉพาะในเวลากลางคืนเท่านั้นหน้าที่ของดวงสว่าง : เมื่อเราแหงนหน้าขึ้นไปในท้องฟ้าจะเห็นดวงสว่างที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ดวงสว่างเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นหมายสำคัญ และเตือนให้มนุษย์รู้ถึงพระสติปัญญาของพระเจ้า (สดด. ๘.๓, รม. ๑.๑๙-๒๐) นอกจากนั้นดวงสว่างยังทำหน้าที่เป็นเครื่องหมายแห่งฤดูกาลต่างๆ แบ่งวันเดือนปี และเป็นปฏิทินคอยแจ้งให้มนุษย์วางแผนสำหรับการเพาะปลูกพระเยซูคริสต์ตรัสว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” (ยน. ๘.๑๒) นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงบอกให้คริสเตียนทำให้หน้าที่เป็นความสว่างของโลกด้วย ( มธ. ๕.๑๔-๑๖) ข้อสังเกต : มีบางคนอ่านปฐมกาลบทที่ ๑ แล้วเกิดความสงสัยว่า ทำไมพระเจ้าทรงสร้างสิ่งเล็กก่อนสิ่งใหญ่ เพราะอะไรจึงสร้างโลกก่อนที่จะสร้างดวงอาทิตย์? คำตอบที่เราพอจะหาได้ในตอนนี้คือ ประการแรก เพื่อลำดับความสำคัญก่อนหลัง ประการที่สอง เพื่อป้องกันมิให้มีการกราบไหว้ พระองค์ต้องการให้นมัสการพระผู้สร้าง (The Creator) แทนที่จะนมัสการสิ่งที่ถูกสร้าง (The Creature) ยากอบเรียกพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้ว่า “พระบิดาแห่งดวงสว่าง” (ยก. ๑.๑๗)ทูตสวรรค์ : แล้วบรรดาทูตสวรรค์ล่ะ พระเจ้าทรงสร้างพวกเขาในช่วงไหน? เพราะตั้งแต่วันที่ ๑ – ๗ ในพระคัมภีร์ปฐมกาล ไม่ได้กล่าวถึงการทรงสร้างบรรดาทูตสวรรค์เลย แต่จากการศึกษาในพระธรรมโยบจะพบว่า มีการสร้างทูตสวรรค์พร้อมกับดวงดาวทั้งหลาย (โยบ ๓๘.๗) ถ้าตีความตามพระคัมภีร์ตอนนี้ ก็หมายความว่า บรรดาทูตสวรรค์ถูกสร้างขึ้นในวันที่สี่นั่นเอง แต่นักศาสนศาสตร์หลายคนลงความเห็นว่า พระเจ้าทรงสร้างทูตสวรรค์ขึ้นในวันแรก การทรงสร้างในวันที่ห้า สัตว์บกและทะเล : พระเจ้าทรงสร้างสิ่งที่มีชีวิตในทะเลและในอากาศ (๑.๒๐-๒๓) พระองค์ทรงสร้างสิ่งมีชีวิตรุ่นแรกในทะเล ด้วยการตรัสว่า “น้ำจงอุดมด้วยฝูงสัตว์ที่มีชีวิต” พระเจ้าทรงอวยพระพรสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น ในภาษาฮีบรูตอนนี้ใช้คำว่า “สร้าง” (Bara) คือ สร้างจากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลย หรือโดยไม่ต้องใช้วัสดุสิ่งเล็กและสิ่งใหญ่ : พระเจ้าทรงสร้างสิ่งที่เล็กที่สุดไปจนถึงสิ่งที่ใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ตัวหนอน นกฮัมมิ่งจนถึงช้างและปลาวาฬสีน้ำเงิน (ปลาวาฬชนิดนี้ยาว ๑๑๐ ฟุต และหนัก ๑๕๐ ตัน เท่ากับเครื่องบินโบอิ้ง ๗๓๗) การทรงสร้างในวันที่หก สัตว์ต่างๆ : พระเจ้าทรงสร้างชีวิตสัตว์บนแผ่นดิน และสร้างมนุษย์ (๑.๒๔-๒๕, ๑.๒๖-๒.๒๕) ในพระคัมภีร์ตอนนี้เราจะพบว่า พระองค์ทรงสร้างสัตว์พวกแรกคือ สัตว์ใช้งานซึ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ สัตว์พวกที่สองคือ สัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลาน และพวกที่สามคือ สัตว์ป่าการทรงสร้างมนุษย์ : “แล้วพระเจ้าตรัสว่า ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา” (๑.๒๖) ขอสังเกตคำว่า “เรา” ในพระคัมภีร์ตอนนี้เป็นพหูพจน์ (ปฐก. ๑๑.๗, สดด. ๒.๗, ๔๕.๗, ๑๑๐.๑, อสย. ๔๘.๑๖)หมายถึงเป็นพระราชกิจร่วมกันของพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เรียกว่า “องค์แห่งตรีเอกานุภาพ” ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า มนุษย์เป็นสิ่งสุดยอดในการทรงสร้างของพระเจ้า ซึ่งประกอบด้วยสามส่วน คือ ส่วนที่มองเห็นได้เรียกว่าร่างกาย ส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์เรียกว่าจิตใจและและส่วนที่อยู่ภายในและเป็นอยู่นิรันดร์เรียกว่าจิตวิญญาณ แตกต่างจากสัตว์ที่มีเพียงร่างกายและความรู้สึกเท่านั้น ตามฉายา/ตามอย่างของพระเจ้า : ฉายา มาจากภาษาฮีบรูว่า “เทสเลม” (teslem) หมายถึงเงา การถ่ายภาพเหมือน หรือคล้ายคลึงกัน และคำว่า “ตามอย่าง” มาจากภาษาฮีบรู dmuwth หมายถึงรูปแบบ รูปร่าง แบบอย่าง หรือ “เหมือนกับ” มนุษย์เหมือนกับพระเจ้า : ในพระคัมภีร์ได้กล่าวว่ามนุษย์มีความเหมือนกับพระเจ้าอย่างไร? ซึ่งพอสรุปเป็นแนวทางได้ดังนี้ ประการแรก มนุษย์มีความเหมือนกับพระเจ้า คือ มีความรู้ ความคิด (สติปัญญา)และความสามารถในการหาเหตุผลประการที่สอง มนุษย์มีจิตสำนึก หรือจิตใต้สำนึก มีความรู้ดีรู้ชั่ว ต่างจากสัตว์ที่มีเพียงสัญชาตญาณเท่านั้นประการที่สาม มนุษย์มีความสามารถในการเลือก คือ เลือกที่จะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร เลือกทางเดินหรือวิถีชีวิต อีกทั้งยังมีความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาและปรับปรุงแก้ไขอีกด้วยประการที่สี่ มนุษย์มีความตั้งใจ ประการที่ห้า มนุษย์มีวิญญาณนิรันดร์ ตรงข้ามกับสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่ปราศจากจิตวิญญาณประการที่หก มนุษย์สามารถพูดได้ประการที่เจ็ด มนุษย์สามารถทำงานได้ สัตว์จะทำงานต่อเมื่อถูกบังคับ หรือทำโดยสัญชาตญาณ และประการที่แปด ซึ่งเรื่องนี้มีความสำคัญมาก คือมนุษย์สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ ในบรรดาสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น มีเพียงทูตสวรรค์และมนุษย์เท่านั้น ที่รู้ว่ามีพระเจ้าและสามารถเข้าไปถึงพระพักตร์ของพระองค์ได้วันที่เจ็ด พระเจ้าทรงหยุดพักพระราชกิจของพระองค์ (๒.๑-๓) การหยุดพัก : ในพระธรรมปฐมกาลบทนี้ เป็นพระคัมภีร์เพียงตอนเดียวที่บอกถึงการหยุดพักของพระเจ้า การหยุดมีความหมาย ๒ ประการ คือ อย่างแรกหมายถึง การหยุดพักสำหรับพระเจ้า หมายถึงเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งการทรงสร้างแล้ว (๒.๒) อย่างที่สองการหยุดพัก ยังมีความหมายสำหรับมนุษย์ คือ ให้ทำงานหกวันและหยุดพักหนึ่งวัน เพื่อเป็นวันแห่งพระพร และนมัสการพระเจ้าโดยถือเป็น “วันบริสุทธิ์” (๒.๓)วันบริสุทธิ์ : ต่อมาภายหลังเรียกว่า “วันสะบาโต” (Shabath) แปลว่า “การพักและแสวงหาพระเจ้า” พระเจ้าทรงให้คนอิสาราเอลมีวันพัก(เพื่อระลึกถึงพระเจ้า) และละเว้นการทำงานทุกอย่าง (อพย. ๒๐.๘-๑๑) ข้อสรุป : เมื่อพระเจ้าทรงสร้างสิ่งสารพัดอย่างครบบริบูรณ์แล้ว พระคัมภีร์บอกว่า พระองค์ทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้ “ทรงเห็นว่าดีนัก” (๑.๓๑)หมายเหตุ มีทฤษฎีว่าด้วยเรื่องการทรงสร้าง ที่มักจะทำให้ผู้คนที่อ่านพระธรรมปฐมกาลเกิดความสงสัยและไขว้เขวว่า พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ หรือว่าเป็นเพียงตำนานและเรื่องที่เล่าต่อๆกันมาเท่านั้น ทฤษฎีนี้กล่าวว่า “เรื่องการสร้างโลกในบทนี้ สันนิษฐานว่ามาจากตำนานสงฆ์ (ปุโรหิต – ผู้เขียน) การเล่าตอนนี้มีลักษณะเป็นนามธรรม และเป็นความคิดทางเทววิทยามากกว่าขอความตอนต่อไป (ปฐก. ๒.๔ข-๒๕)...พระคัมภีร์เล่าเรื่องโดยใช้วิทยาการยุคโบราณ จึงไม่ถูกต้องที่จะหาความสอดคล้องกันระหว่างเรื่องที่เล่าสั้นๆนี้กับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ แม้ผู้เขียนใช้ภูมิหลังจากตำนานเทพของลัทธิพหุเทวนิยมซึ่งชาวตะวันออกไกลโบราณคุ้นเคย...” “ผู้เขียนจากตำนานสงฆ์ได้รวบรวมความคิดถึงเรื่องพระเจ้าซึ่งเป็นจิต เข้ากับเรื่องเล่าที่โบราณกว่าในการเนรมิตสร้างสำนวนที่สอง..” “การเล่าเรื่องการสร้างหญิงดูเหมือนจะมาจากธรรมประเพณีอีกสายหนึ่ง...” [6] มีอีกทฤษฎีหนึ่งที่เรียกว่า “ทฤษฎีช่องว่างระหว่างการทรงสร้าง” (The Gap Theory) ซึ่งอยู่ระหว่างปฐมกาล บทที่ ๑.๑ กับบทที่ ๑.๒ ซึ่งก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้ โลกถูกทำลาย : นักศาสนศาสตร์บางคนเชื่อว่า โลกของเราได้ถูกทำลายลงครั้งหนึ่งแล้ว และได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ โดยให้สังเกตคำว่า “แผ่นดินก็ว่างเปล่า” (๑.๒) และโยงเข้ากับคำกล่าวของผู้เขียนสดุดี “มาเถิด มาดูพระราชกิจของพระเจ้าว่า พระองค์ทรงกระทำให้เริศร้างในแผ่นดินโลกอย่างไร” (สดด. ๔๖.๘) ในคำเผยพระวจนะของเยเรมีย์ที่บอกไว้ค่อนข้างชัดเจน “ข้าพเจ้ามองดูที่พื้นโลก และนี่แน่ะมันเป็นที่ร้างและว่างเปล่า และมองดูฟ้าสวรรค์ ในนั้นไม่มีความสว่าง” (ยรม. ๔.๒๓) ในข้อต่อมาก็บอกถึงผลของการทำลายโลกว่า ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ ไม่มีนก เรือกสวนไร่นาก็ถูกทำลายเสียสิ้น “เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า แผ่นดินทั้งหมดจะเป็นที่เริศร้าง ถึงกระนั้นเราก็ยังมิได้กระทำให้ถึงอวสานทีเดียว” (ยรม. ๔.๒๗) เทวดาตกสวรรค์ : นักศาสนศาสตร์หลายคนเชื่อในพระคัมภีร์ตอนนี้ว่า เป็นช่วงเวลาที่ซาตานถูกขับไล่ลงมาจากสวรรค์ ลงสู่โลกมนุษย์ แต่นักศาสนศาสตร์อีกหลายคนมีความเห็นว่า ดูเหมือนซาตานตกลงมาจากสวรรค์จะเกิดขึ้นในระหว่างปฐมกาลบทที่ ๑-๒ นี้ ข้อมูลที่จะช่วยให้เข้าใจเรื่องนี้อยู่ในพระธรรมอิสยาห์บทที่ ๑๔ และเอเสเคียลบทที่ ๒๘ ซึ่งเราจะศึกษาและอภิปรายกันในบทต่อไป.

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
พวกเราเป็นกลุ่มคริสตจักรท่มีความเชื่อตามหลักของพระคัมภีร์อย่างเคร่งครัด เราเชื่อว่า เรารอดโดยพระคุณพระเจ้า และเชื่อในตรีเอกานุภาพ และพระคัมภีร์66เล่มเป็นการดลใจจากพระเจ้าและไม่มีความผิดพลาดของต้นฉบับ และพระวจนะของพระเจ้าเป็นแหล่งชีวิตและความจริง เป็นหนังสือท่ช่วยในการดำเนินชีวิตประจำวัน เราเชื่อว่าเมื่อเราเชื่อในพระองค์เราได้รับองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ในทันใดนั้น เพราะทรงประทับตราเรา ( เอเฟซัส 1:13-14)