ขอบคุณสำหรับเรือ

ขอบคุณสำหรับเรือ

ลุยช่วยคนที่น้ำท่วม

ลุยช่วยคนที่น้ำท่วม
ระวังเรือล่มนะ

ช่วยเหลือพี่น้องที่น้ำท่วม

ช่วยเหลือพี่น้องที่น้ำท่วม
เราคนไทยไม่ทิ้งกัน

อย่าลืมอธิษฐานเผื่อพี่น้องอาข่านะครับ

อย่าลืมอธิษฐานเผื่อพี่น้องอาข่านะครับ
เราต้องการคำอธิษฐานเผื่อ

ภาพนี้ให้บทเรียนอะไรบ้าง

ภาพนี้ให้บทเรียนอะไรบ้าง
จะปลอบใจ หนุนใจ กันเถิด

หัวเหดหยัง

หัวเหดหยัง
อย่าเว้าเรื่องแฟนอายเผิน

การเลือกคู่ครองที่ถูกต้อง

การเลือกคู่ครองที่ถูกต้อง
อย่าเทียมแอกกับคนไม่เชื่อ

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

จงยอมถวายตัวและหัวใจ

เทศนา
- จุดประสงค์....เพื่อให้คริสเตียนยอมถวายตัวและหัวใจอุทิศชีวิตให้พระเจ้า
- คำนำ..... พระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ตลอดทั้งเล่มจะสังเกตเห็นได้ว่าพระคัมภีร?เน้นและท้าทายให้ผู้เชื่อได้อุทิศชีวิตยอมถวายกายใจให้พระเจ้าเพราะเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด และปัญหาที่เกิดขึ้นก็เพราะผู้เชื่อทั้งหลายไม่ได้ถวายชีวิตให้กับพระเจ้าจริงๆ
- เรื่อง....จงถวายชีวิตให้กับพระเจ้า โรม 12.1-2
/// การถวายชีวิตให้กับพระเจ้าคืออะไร
/// การถวายชีวิตให้กับพระเจ้าทำไมคริสเตียนทั่วโลกไม่ยอมถวาย
1. เพราะกลัวว่าตนเองจะเสียอิสระภาพ (เหยื่อ)หรือถูกผูกมัด ผูกโยงในความรับผิดชอบ
คือ คิดว่าเมื่อสาบานและยอมถวายชีวิตให้กับพระเจ้าแล้ว จะหมดอิสรภาพและเหมือนเอาเชือกหรือโซ่มาล่ามตัวเอง ผูกมัดตัวเอง
/// นี้ คือ กลอุบาย ง่ายๆ ที่ซาตานใช้ได้ผล เพราะมนุษย์อยากทำตามใจของตนเองอยู่แล้ว
/// แต่พระเจ้ายิ่งทรงท้าทาย เชื้อเชิญ เพราะดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด ประเสริฐที่สุด และมีพระพรมากมายที่พระเจ้าทรง จัดเตรียมไว้และอวยพระพรให้เรา
เช่น อาเบล-คาอิน โนอาห์ อับราฮัม ยาโคบ โยเซฟ ดาวิด ดาเนียล อื่นๆ
/// บทเรียน ..... มารซาตานยังใช้สิ่งเหล่านี้ทำให้เราไม่กล้า ไม่ยอม ถวายชีวิตให้พระเจ้า
- อย่าหลงเชื่อ อย่าฟัง อย่าแก้ตัว อย่าหาทางหลีกเหลี่ยง เพราะอันตราย และผลสุดท้าย
เราเองจะเสียใจตลอดชีวิต และเสียโอกาส ดังนั้นเปาโลจึงวิงวอน เชื้อเชิญ ท้าทาย เราทุกคน
ยิ่งเราไม่ถวายตัว ยิ่งเป็นทาสของ งานและวัตถุ แต่พระเจ้าบอกว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท
พระเจ้าไม่บังคับเรา แต่ปรารถนาให้เราถวายชีวิตให้พระองค์ทั้งกายและใจ

2. เพราะกลัวว่าตนเองจะทำตามสัญญาไม่ได้ ตลอด (ยาก)
คิด เมื่อจะถวายตัว มารก็จะพูดกรอกหูว่า ทำไม่ได้หรอก ทำได้ไม่นาน ทำไม่จริง
และจะอายพระเจ้า จะอายคนอื่น และพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูไม่ให้สาบานอะไร
/// นี้เป็นกลอุบายอีกอย่างทีได้ผลดี เพราะเราขาดความมั่นใจอยู่แล้ว เราไม่อยากเสียอิสรภาพอยู่แล้ว และเราคิดว่าไม่มีใครจะรักษาสัญญาได้แน่นอน เช่น อับราฮัมก็พลาด,ดาวิดก็พลาด,ซาโลมอน อื่นๆ
/// บทเรียน เราอย่าคิดว่าตนเองทำไม่ได้ เราต้องลองและต้องพึ่งในพระเจ้าจึงจะทำได้ ต้องรักพระเจ้าจริงๆ เช่น เปาโลทำได้เพราะอะไร ,โยเซฟและโนอาห์ทำได้เพราะอะไร ...เพราะความสัมพันธ์ที่ดีและความรักที่มีต่อพระเจ้าและมองในแง่บวก และจะเห็นโอกาสและพระพรอย่างมากมาย ดังนั้นเปาโลและพระคัมภีร์ตลอดทั้งเล่มจึง เชื้อเชิญและท้าทาย เช่น ชีวิตผมเอง และคุณเองที่มีประสบการณ์
/// มารจะพูดกรอกหูตลอดเลยว่า ยังไง ยังไง ไม่มีทางที่คุณจะทำได้หรอก
และคุณเคยพุดอย่างนี้กับพระเจ้ากี่หนแล้วไม่เห็นทำได้พอสามวันสักที แต่พระเจ้าก็จะบอกเราว่า ถวายตัวเถิดลูกพ่อจะช่วยและอยู่เคียงข้าง พ่ออภัยเสมอและให้โอกาสลูกเสมอ ไม่ยากเลย คนอื่นทำได้ลูกก็ต้องทำได้ซิ

3. เพราะกลัวว่ามีงานและความรับผิดชอบเยอะ (ยุ่ง)
คือ กลัวว่าจะต้องดูแลและทำงานเยอะและยิ่งจะยุ่งมาก เพราะเวลาก็แทบไม่มีอยู่แล้ว
/// นี้เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ซาตานใช้ได้ผลดียอดเยี่ยม เพราะนิสัยของมนุษย์มักไม่อยากรับผิดชอบอะไรมากอยู่แล้ว และกำลังหาทางปัดทิ้งและหลีกเหลี่ยงอยู่แล้ว
/// และบางคนรู้ว่างานของพระเจ้าเยอะและยากมาก อยู่เฉยๆดีแล้วอย่าหาเห่าใส่หัวเลย อย่าหาเรื่องใส่ตัว มาโบสถ์และถวายทรัพย์อย่างสัตย์ซื่อก็พอแล้ว ดูซิคนอื่นๆเขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละ
/// แต่พระเจ้าทรงตรัสว่า งานของพระเจ้าไม่หนักและภาระก็เบา และพระเจ้าเองจะคอยช่วยไม่ใช่ให้เราทำคนเดียว ยิ่งเราไม่ยอมถวายตัวยิ่งยุ่ง ยิ่งเหยิง ยิ่งแย่ และยิ่งถวายพระเจ้ายิ่งเมตตาพอพระทัยและเทยพพระพรให้
สรุป..... นี้คือทางที่ดี โอกาสที่ดี สิ่งที่ดี.....เราต้องกล้าและฉลาดในการเลือก
จงฟังเสียงของพระเจ้า จงฟังผู้ที่ได้ชิมแล้ว รู้แล้ว เห็นแล้ว แนะนำเรา แม้ท่านเปาโลเองถึงกับท้าทาย เชื้อเชิญ แนะนำสิ่งที่ดีทางที่ดีที่สุดให้เรา คือ ยอมถวายตัวและหัวใจให้พระเจ้าเถิด จงกล้าถวาย อย่ากลัว อย่าเสียดาย เดี๋ยวจะเสียใจไปตลอดชีวิต

แบบอย่างการเป็นพยานของเปาโล

เมื่อเปาโลกำลังคอยสิลาสกับทิโมธีอยู่ในกรุงเอเธนส์นั้น ท่านมีความเดือดร้อนวุ่นวายใจ เพราะได้เห็นรูปเคารพเต็มไปทั้งเมือง 17เหตุฉะนั้นท่านจึงโต้ตอบในธรรมศาลากับพวกยิว และกับคนที่ถือพระเจ้า และกับคนทั้งหลายซึ่งมาพบท่านที่สนามชุมนุมทุกวัน 18ปรัชญาเมธีบางคนในพวกเอปิคูเรียน และในพวกสโตอิกได้มาพบท่าน บางคนกล่าวว่า "คนเก็บเดนความรู้เล็กๆน้อยๆอย่างนี้จะใคร่มาพูดอะไรให้เราฟังเล่า" บางคนกล่าวว่า "ดูเหมือนเขาเป็นคนนำพระต่างประเทศเข้ามาเผยแพร่" เพราะเปาโลได้ประกาศพระนามพระเยซู และเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย
19เขาจึงจับเปาโลพาไปยังสภาอาเรโอปากัส(หรือ เนินเขาอาเรโอ) แล้วถามว่า "เราขอรู้ได้หรือไม่ว่าคำสอนอย่างใหม่ที่ท่านกล่าวนั้นเป็นอย่างไร 20เพราะว่าท่านนำเรื่องแปลกประหลาดมาถึงหูของเรา เหตุฉะนั้นเราอยากทราบว่า เรื่องราวเหล่านี้มีความหมายว่าอย่างไร" 21เพราะชาวเอเธนส์กับชาวต่างประเทศซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น ไม่สนใจในอะไรอื่น นอกจากจะกล่าวหรือฟังสิ่งใหม่ๆ
22ฝ่ายเปาโลจึงยืนขึ้นกลางสภาอาเรโอปากัสแล้วกล่าวว่า "ดูก่อนท่านชาวกรุงเอเธนส์ โดยประการต่างๆข้าพเจ้าเห็นได้ว่า ท่านทั้งหลายเป็นนักศาสนา 23เพราะว่าเมื่อข้าพเจ้าเดินทางมาสังเกตดูสิ่งที่ท่านนมัสการนั้น ข้าพเจ้าได้พบแท่นแท่นหนึ่ง มีคำจารึกไว้ว่า 'แด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก' เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาประกาศ และแสดงให้ท่านทั้งหลายทราบ ถึงพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จักแต่ยังนมัสการอยู่ 24พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้น พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก มิได้ทรงสถิตในปูชนียสถานซึ่งมือมนุษย์ได้กระทำไว้ 25พระองค์มิจำต้องให้มือมนุษย์มาปรนนิบัติ ดังว่ามีความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานชีวิตและลมหายใจ และสิ่งสารพัดแก่คนทั้งปวงต่างหาก 26พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติ สืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่ 27เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้าและมุ่งหวังจะคลำหาให้พบพระองค์ ที่จริงพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย
28ด้วยว่า 'เรามีชีวิต และไหวตัว และเป็นอยู่ในพระองค์' ตามที่กวีบางคนในพวกท่านได้กล่าวว่า 'แท้จริงเราทั้งหลายเป็นเชื้อสายของพระองค์' 29เหตุฉะนั้นเมื่อเราเป็นเชื้อสายของพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่ควรถือว่าพระเจ้าทรงเป็นทอง เงิน หรือหิน อันเป็นปฏิมากรสำเร็จด้วยศิลปะและความคิดของมนุษย์ 30ในเวลาเมื่อมนุษย์ยังไร้เดียงสา พระเจ้ามิได้ทรงถือโทษ แต่เดี๋ยวนี้ พระเจ้าได้ตรัสสั่งแก่มนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่งให้กลับใจใหม่ 31เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยมนุษย์ผู้นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้ และพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงมีความแน่ใจในเรื่องนี้ โดยทรงให้มนุษย์ผู้นั้นคืนชีวิต"
32ครั้นคนทั้งหลายได้ยินถึงเรื่องการซึ่งเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว บางคนก็เยาะเย้ย แต่บางคนว่า "ข้าพเจ้าจะคอยฟังท่านกล่าวเรื่องนี้อีกต่อไป" 33แล้วเปาโลจึงออกไปจากเขา 34แต่มีบางคนติดตามเปาโลไปและได้เชื่อถือ ในคนเหล่านั้นมีดิโอนิสิอัสผู้เป็นสมาชิกสภาอาเรโอปากัส กับหญิงคนหนึ่งชื่อดามาริสและคนอื่นๆด้วย
///// แนวทางในการเป็นพยานจากเปาโล
1. เปาโลอธิบายว่าพระเจ้าแท้ต้องเป็นผู้สร้าง ไม่ใช้พระเจ้าที่ถูกสร้าง
พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้น พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก มิได้ทรงสถิตในปูชนียสถานซึ่งมือมนุษย์ได้กระทำไว้
พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติ สืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่ 27เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้าและมุ่งหวังจะคลำหาให้พบพระองค์ ที่จริงพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย
2.เปาโลอธิบายว่าพระเจ้าแท้ต้องเป็นผู้ให้ไม่ใช่มนุษย์เป็นฝ่ายให้

พระองค์มิจำต้องให้มือมนุษย์มาปรนนิบัติ ดังว่ามีความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานชีวิตและลมหายใจ และสิ่งสารพัดแก่คนทั้งปวงต่างหาก
3. เปาโลอธิบายว่าพระเจ้าแท้ต้องเป็นผู้พิพากษา ไม่ใช่ผู้ที่ถูกพิพากษา

เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยมนุษย์ผู้นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้ และพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงมีความแน่ใจในเรื่องนี้ โดยทรงให้มนุษย์ผู้นั้นคืนชีวิต"
4. เปาโลอธิบายว่าพระเจ้าแท้ต้องชนะความตาย

เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยมนุษย์ผู้นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้ และพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงมีความแน่ใจในเรื่องนี้ โดยทรงให้มนุษย์ผู้นั้นคืนชีวิต"

32ครั้นคนทั้งหลายได้ยินถึงเรื่องการซึ่งเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว บางคนก็เยาะเย้ย แต่บางคนว่า "ข้าพเจ้าจะคอยฟังท่านกล่าวเรื่องนี้อีกต่อไป"
สุดยอดนักประกาศ คือ เปาโล ( กจ.17.16-34)
สรุปเปาโลให้ความจริงเรื่องพระเจ้าแท้ คนที่เปิดใจ ถ่อมใจก็เข้าใจ กล้าที่จะเชื่อวางใจและรับเอาความรอดชีวิตนิรันดร์
จงเป็นพยานเหมือนเปาโลและให้ความจริงว่าพระเจ้าแท้เป็นอย่างไร ส่วนคนที่จะเชื่อหรือไม่ให้เป็นเรื่องระหว่างเขากับพระเจ้า
คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด 10ด้วยว่า ความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด และขอบพระคุณพระเจ้าที่นี่มีคนฉลาดเลือก กล้าเลือกและได้พบสิ่งประเสริฐคือความรอดและชีวิตนิรันดร์ คือ
แล้วเปาโลจึงออกไปจากเขา 34แต่มีบางคนติดตามเปาโลไปและได้เชื่อถือ ในคนเหล่านั้นมีดิโอนิสิอัสผู้เป็นสมาชิกสภาอาเรโอปากัส กับหญิงคนหนึ่งชื่อดามาริสและคนอื่นๆด้วย พี่น้องที่รักเราแค่เป็นพยาน แต่งานรับเชื่อเป็นของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะสำแดงเชื้อเชิญเขาตัดสินใจรับเชื่อ

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

มหาตมะคานธี เห็นพระเจ้าในพระคัมภีร์ แต่ไม่เห็นในชีวิตคริสเตียน

( บทความ จาก อ. ธวัช)
มหาตมะคานธีผู้ยึดหลักการอหิงสา(กระทำโดยไม่กระทำ)กล่าวว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีชีวิต”
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์กล่าวถึงมหาตะคานธีว่า “คนรุ่นอนาคตจะไม่มีทางเชื่อเลยว่า มีคนแบบนี้อยู่จริงบนโลกมนุษย์นี้”มาร์ติน ลูเธอร์คิงกล่าวยกย่องว่า “พระเยซูเจ้าทรงมอบคำสอนแก่ข้าพเจ้า ส่วนคานธีเป็นผู้มอบวิธีการ”โมฮันดาส คาดามจันด์ คานธีเกิดเมื่อปี ๑๘๖๙ ที่เมืองเล็กๆชื่อขัตติยวาส เขตสุทามาปุรี แคว้นบอมเบย์ เป็นชาวฮินดูในตระกูลแพทย์ มักเป็นที่ดูหมิ่นเหยียดหยามของคนที่วรรณะสูงกว่าอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ให้ทำให้คานธีเกลียดการแบ่งชนชั้นอย่างเข้ากระดูกดำ
คานธีเป็นลูกคนเล็กที่ถูกพ่อแม่ตามอกตามใจ ถึงกระนั้นเขาก็ยังรู้สึกประทับใจในความเชื่อในศาสนาของผู้เป็นแม่ ที่ไม่แตะต้องเนื้อสัตว์ มักภาวนาและถือศีลอดอาหารอยู่บ่อยๆ คานธีแต่งงานเมื่ออายุยังน้อย เพียงแค่ ๑๓ ปีเท่านั้นกับหญิงสาวชื่อคาสตวา
พออายุได้ ๑๗ ปีเขาก็ทิ้งครอบครัวไปเรียนกฎหมายต่อที่ประเทศอังกฤษ เมื่อเรียนจบก็กลับมาประกอบอาชีพทนายที่บ้านเกิด แต่ไม่นานก็ย้ายไปทำมาหากินอยู่ที่อาฟริกาใต้ ที่นั่นคานธีได้พบกับการแบ่งชั้นวรรณะมากกว่าที่อินเดียเสียอีก ครั้งหนึ่งเขาตีตั๋วรถไฟชั้นหนึ่ง แต่กลับถูกเหยียดหยามจากผู้โดยสารผิวขาวและให้พนักงานรถไฟไล่ให้เขาไปอยู่ชั้นสาม แต่คานธีไม่ยอม พอถึงสถานีแรกรถไฟก็จอด พวกพนักงานเข้ามาจับเขาโยนลงจากรถไฟอย่างไร้ความปรานี ซึ่งเขาถือว่าจุดนี้เป็นประสบการณ์ที่สร้างสรรค์มากที่สุดในชีวิตเลย ต่อมาอังกฤษได้ออกกฎหมายที่กดขี่ข่มเหงคนอินเดียมากขึ้น คานธีได้ชักชวนคนอินเดียลุกขึ้นแข็งข้อต่ออังกฤษด้วยวิธีการ “อหิงสา” คือไม่ให้ความร่วมมือ ผู้ประท้วงถูกตำรวจทุบตีอย่างทารุณ แต่ก็ไม่มีการต่อสู้ขัดขืนแต่อย่างใด จนกระทั่งอังกฤษต้องยกเลิกกฎหมายฉบับนั้นครั้งหนึ่งที่อาฟริกาใต้ คานธีได้เข้าไปร่วมนมัสการพระเจ้าที่โบสถ์คริสเตียนแห่งหนึ่ง แต่ผู้ปกครองคริสตจักรซึ่งยืนที่ประตูและห้ามเขามิให้เข้าไปโดยบอกว่า “ที่นี่ต้อนรับเฉพาะคนผิวขาวเท่านั้น” ท่าทีแบบนี้เป็นเหตุทำให้คานธีมีความรู้สึกว่า คำสอนของพระเยซูคริสต์นั้นดีมากๆ (เขามักจะอ่านพระคัมภีร์เสมอ โดยเฉพาะคำเทศนาบนภูเขาของพระเยซู) แต่บรรดาผู้นับถือพระองค์ยังมีการแบ่งชั้นวรรณะอยู่ สันนิษฐานว่านี่อาจเป็นเหตุทำให้คานธีไม่สนใจที่เป็นคริสเตียนอีกเลยปี ๑๙๑๕ คานธีกลับมาที่อินเดีย เขาได้ปลุกระดมคน ๒ พันคนให้ประท้วงอังกฤษ เพราะคนอินเดีย ๓๐๐ ล้านคน ต้องยอมจำนนต่อคนอังกฤษจำนวน ๑ แสนคนที่ปกครองอยู่ และกอบโกยทรัพยากรกลับประเทศไปจำนวนมหาศาล มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ครั้งนั้นทหารอังกฤษยิงผู้ประท้วงตายไป ๓๗๙ คน (ที่หยุดยิงเพราะกระสุนหมด ไม่งั้นคงตายมากกว่านี้)คานธีหันมาใส่เสื้อผ้าธรรมดาแบบดั้งเดิมของคนอินเดีย พร้อมกับพูดว่า “เสื้อผ้าของคนต่างชาติที่ชาวอินเดียสวมใส่อยู่นั้น แสดงถึงความเป็นทาสต่อวัฒนธรรมของชาวตะวันตก และเราจะสามารถปลดปล่อยความเป็นทาสไปได้” ทำให้คนอินเดียเผาเสื้อผ้าเหล่านั้นทิ้งและหันมาใส่เสื้อผ้าพื้นเมือง ต่อมาเกิดปัญหาเรื่องเกลือ ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามาก แต่อังกฤษกลับออกกฎหมายห้ามคนอินเดียทำเกลือ คานธีทำการต่อสู้(ด้วยหลักการอหิงสา)เรื่องนี้จริงจัง จนกระทั่งถึงปี ๑๙๔๒ คานธีซึ่งอยู่ในวัย ๗๓ ปี ก็ตั้งต้นประกาศอิสรภาพแก่ประเทศอินเดีย แต่ก็ได้มาจริงๆในอีกห้าปีต่อมา ลุล่วงมาจนถึงวัย ๗๘ ปีคานธีได้เข้าไปสวดมนต์ในสวนเวอริฮาทร์ ชายคนหนึ่งได้ชักปืนออกมายิงใส่เขา ๓ นัดซ้อน ขณะที่คานธียังสวดมนต์พึมพัมและจบชีวิตอย่างสงบโดยไม่แสดงความประหลาดใจหรือมีอาการเจ็บปวดใดๆคานธีได้กล่าวถึง “บาป ๗ ประการ”[1] เล่นการเมืองโดยไม่มีหลักการหาความสุขสำราญโดยไม่ยั้งคิดร่ำรวยเป็นอักนิษฐโดยไม่ต้องการทำงาน มีความรู้มหาศาล แต่ความประพฤติไม่ดี ค้าขายโดยไม่มีหลักศีลธรรมวิทยาศาสตร์ล้ำเลิศ แต่ไม่มีคุณธรรมแห่งมนุษย์บูชาสูงสุด แต่ไม่มีความเสียสละ เวอร์นอน ซี กราวน์ส[2] ได้เขียนถึงมหาตมะคานธีว่า “เมื่อ อี สแตนลีย์ โจนส์ ไปเป็นมิชชันนารีที่ประเทศอินเดีย เขาได้มีโอกาสพบกับมหาตมะคานธี ผู้นำที่ชายอินเดียยกย่อง เขาได้ตั้งคำถามเพื่อค้นหาความจริงว่า “คริสเตียนจะสามารถมีอิทธิพลต่อประเทศของคุณได้อย่างไร?” คานธีได้ให้คำตอบที่น่าคิดเอาไว้ว่า “คริสเตียนต้องมีสามสิ่งต่อไปนี้ ประการแรก คริสเตียนจะต้องเริ่มต้นมีชีวิตเหมือนพระเยซูมากขึ้น ประการที่สอง คริสเตียนจะต้องนำเสนอความเชื่อโดยไม่มีการประนี ประนอม และประการสุดท้าย คริสเตียนควรจะเน้นในเรื่องความรักซึ่งเป็นหัวใจของพระกิตติคุณ” พวกเราเมื่อได้ยินแล้ว น่าจะเก็บเอามาพิจารณาดูนะครับ! หากเราคริสเตียนจะดำเนินชีวิตประจำวันเหมือนกับพระเยซู มีความเชื่อศรัทธาอย่างแรงกล้า และมีความรัก(เสียสละ)อย่างไม่จำกัด เชื่อว่าคนทั้งโลกจะหันมาไว้วางใจในพระคริสต์ รับสันติสุขและมีชีวิตนิรันดรอย่างแน่นอน. พี่น้องที่รักเรากำลังปิดบังทางไปสวรรค์ของคนอื่นหรือเปล่า จงสำรวจและสารภาพและดำเนินชีวิตใหม่เด้อ และเราก็หย่าเหมือนคานธีรู้จักเจ้าของสวรรค์แต่ไม่ยอมเข้าไป และเอาแต่คำสอนแต่ไม่เอาตัวผู้สอน เกลียดตัวกินไขเกลียดปลาไหลกินนำแกง และวันหนึ่งพระเยซูก็จะตอบอย่างจุใจเลยว่า เราไม่รู้จักเจ้าเลยแม้คุณจะรู้จักเรา
( มัทธิว 7.21-23)
มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ 22เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์กล่าวพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์ มิใช่หรือ' 23เมื่อนั้นเราจะได้กล่าวแก่เขาว่า 'เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา' 24 "เหตุฉะนั้นผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา 25ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา 26แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตามเล่า เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย 27ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่ง

[1] แปลโดยกรุณา กุศลาสัย มติชนรายสัปดาห์ ฉบับ ๔-๑๐ กันยายน ๒๕๕๒ หน้า ๕๙[2] หนังสือ Our Daily Bread ๑๐ สิงหาคม ๒๐๐๙

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ปากโนแต่จิตสำนึกเยส

( บทความจาก อ.ธวัธ)
หลายคนสงสัยถามว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ “อัจฉริยะของโลก”
มีความคิดอย่างไรในเรื่องของพระเจ้า เขาเป็นคริสเตียนหรือไม่
หรือพูดเกี่ยวกับพระองค์ไว้แบบไหนบ้าง? ในหนังสือ Our Daily Bread
ฉบับเดือนกันยายนที่ผ่านมา เอช. เดนนิส ฟิชเชอร์ได้บอกเรื่องราวเหล่านี้
บางส่วนแก่เราแต่ก่อนนั้นให้เรามาทำความรู้จักกับคนที่ฉลาดสุดๆในโลกคนนี้สักเล็กน้อยอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เกิดเมื่อปี ๑๘๗๙ ณ เมืองอูล์ม ประเทศเยอรมันนี
ในครอบครัวของคนเยอรมันที่มีเชื้อสายยิว ตอนเป็นเด็กเขาทำคะแนนในวิชาอื่นได้แย่มาก
(ยกเว้นดนตรี) แต่ในวิชาคณิตศาสตร์กลับทำคะแนนได้ยอดเยี่ยม
เป็นคนที่เงียบขรึมและไม่ชอบออกไปเล่นกันเด็กอื่นๆ จนพ่อคิดว่าเขาเป็นเด็กโง่
จึงจ้างครูมาสอนพิเศษที่บ้าน
ไอน์สไตน์เป็นคนที่สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ แค่มีห้อง โต๊ะเขียนหนังสือก็เพียงพอแล้ว เขาสามารถนั่งฝันนั่งคิดไปได้เรื่อยๆ เขาเคยกล่าวว่า ทุกอย่างในชีวิตของเขาสามารถปลดปล่อยออกมาในหน้ากระดาษได้ ดังนั้นตลอดชีวิตของเขาจึงมีบทความมากกว่า ๔๐๐ เรื่อง และยังเป็นผู้คิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพและทฤษฎีการแผ่รังสี ซึ่งสิ่งที่เขาคิดค้นดังกล่าวนี้เอง ทำให้ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลในเวลาต่อมา[1] จุดเริ่มของการเป็นนักวิทยาศาสตร์ของไอน์สไตน์มาจาก “เข็มทิศ” ที่ได้รับขณะเมื่อเขานอนแซ่วอยู่บนเตียงคนป่วยตอนอายุได้ ๕ ขวบ เขาครุ่นคิดอยู่ทั้งวันว่า ทำไมเข็มทิศจึงชี้ไปทางเหนือตลอดเวลา อัลเบิร์ตชอบทั้งคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ขณะเดียวกันก็ชอบดนตรีด้วย ไวโอลีนเป็นสิ่งที่เขาโปรดปรานมาก เขาเล่นด้วยความรู้สึกส่วนตัว เล่นเพื่อความสุขของตนเอง ส่วนผู้ฟังเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น ปี ๑๙๐๓ ไอน์สไตน์ได้พบรักและแต่งงานกับมิเลวา มารี เพื่อนเก่าครั้งสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยซูริคด้วยกัน ต่อมาเขาได้ค้นพบทฤษฎีใหม่ ที่ค้านกับทฤษฎีเดิมๆของจอห์น ดาลตัน “สสารย่อมไม่สูญไปจากโลก เพราะอะตอมเป็นส่วนที่เล็กที่สุดของสสาร ซึ่งไม่สามารถแยกออกไปได้อีก” แต่ไอน์สไตน์พบว่า “สสารย่อมมีการสูญสลาย นอกจากพลังงานเท่านั้นที่ไม่สูญสลาย เพราะพลังงานเกิดขึ้นจากสสารที่หายไป และอะตอมไม่ใช่ส่วนเล็กที่สุดของสสาร เพราะฉะนั้น จึงสามารถแยกออกไปได้อีก” ในปี ๑๙๔๒ ไอน์ไสตน์ได้คิดค้นระเบิดปรมาณู โดยใช้งบประมาณ ๒ พันล้านเหรียญสหรัฐ และสามารถสร้างนิวเคลียร์ขึ้นมาได้ ๓ ลูก เป็นช่วงเวลาที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ และในกลางปี ๑๙๔๕ เยอรมันนีกับอิตาบียอมแพ้สงคราม เหลือแต่ญี่ปุ่นเท่านั้นที่สู้ต่อและคิดจะครองโลกแต่เพียงผู้เดียว ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตัดสินใจทิ้งบอมพ์ที่เมืองฮิโรชิมา เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม เกิดระเบิดเป็นรูปดอกเห็ดสูงถึง ๘ ไมล์ มีคนบาดเจ็บและตายกว่า ๑ แสน ๕ หมื่นคน แต่ญี่ปุ่นยังไม่ยอมแพ้ จึงถูกบอมพ์อีกลูกในสามวันต่อมาที่เมืองนางาซากิ และมีคนตายราว ๑ แสนคน นิวเคลียร์สองลูกนี้ทำให้ญี่ปุ่นยกธงขาวทันที ไอน์สไตน์รู้สึกเสียใจมากในเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น เขามีความคิดว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ควรจะนำมาใช้ประโยชน์ทางสันติมากกว่าที่จะมาใช้เป็นเครื่องมือประหัตประหารทำสงครามกัน จึงได้มีการลงนามการใช้ปรมาณูเพื่อสันติ ไอน์สไตน์กล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าอาวุธชนิดใดที่จะใช้ในสงครามโลกครั้งที่สาม แต่ในสงครามโลกครั้งที่สี่นั้น มนุษย์จะสู้รบกันด้วยท่อนไม้และก้อนหิน” ไอน์สไตน์กล่าวถึงการดำเนินชีวิตของตนเองว่า “คนเราจะต้องการอะไรอีก นอกจากอาหารอร่อย มีไวโอลีนให้เล่น มีที่นอน มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งเขียนหนังสือ” ในที่สุดเขาเสียชีวิตลงอย่างสงบด้วยโรคหัวใจวาย ในปี ๑๙๕๕ ในขณะที่ใกล้จากจะโลกนี้ไป สมองของเขายังพยายามคิดค้นสิ่งใหม่ๆอยู่ เดนนิส ฟิชเชอร์กล่าวถึงเคยมีคนถามนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ว่า “ท่านเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?” ไอน์สไตน์ตอบว่า “คนเราก็เป็นเหมือนเด็กเล็กๆที่เดินเข้าไปในห้องสมุดที่มีหนังสือภาษาต่างๆมากมาย เด็กเหล่านี้รู้ว่า หนังสือเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่จะต้องมีคนเขียนขึ้นมา ผมคิดว่าแม้แต่มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดก็มีทัศนะคติต่อพระเจ้าแบบนี้ เราได้เห็นว่าทุกสิ่งในจักรวาลถูกวางแบบแผนไว้อย่างน่าอัศจรรย์ และดำเนินไปตามกฎเกณฑ์บางอย่าง แต่เราก็เข้าใจกฎเหล่านี้อย่างเลือนราง” เขาตอบได้อย่างชาญฉลาด! ฟิชเชอร์กล่าวต่อไปว่า “ถึงแม้ไอน์สไตน์จะรู้สึกอัศจรรย์ใจกับการสร้างสรรค์ที่เขาเห็นในธรรมชาติ แต่เขาก็มิได้เชื่อในพระผู้สร้าง”ดังนั้น ใครที่หวังว่าจะได้พบกับอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ในอนาคต ก็คงจะต้องผิดหวังเสียแล้วล่ะครับ!. ปากไม่กล้าบอกแต่จิตสำนึกยอมรับ มีใครบ้างที่โกหกจิตสำนึกได้

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
พวกเราเป็นกลุ่มคริสตจักรท่มีความเชื่อตามหลักของพระคัมภีร์อย่างเคร่งครัด เราเชื่อว่า เรารอดโดยพระคุณพระเจ้า และเชื่อในตรีเอกานุภาพ และพระคัมภีร์66เล่มเป็นการดลใจจากพระเจ้าและไม่มีความผิดพลาดของต้นฉบับ และพระวจนะของพระเจ้าเป็นแหล่งชีวิตและความจริง เป็นหนังสือท่ช่วยในการดำเนินชีวิตประจำวัน เราเชื่อว่าเมื่อเราเชื่อในพระองค์เราได้รับองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ในทันใดนั้น เพราะทรงประทับตราเรา ( เอเฟซัส 1:13-14)