ขอบคุณสำหรับเรือ

ขอบคุณสำหรับเรือ

ลุยช่วยคนที่น้ำท่วม

ลุยช่วยคนที่น้ำท่วม
ระวังเรือล่มนะ

ช่วยเหลือพี่น้องที่น้ำท่วม

ช่วยเหลือพี่น้องที่น้ำท่วม
เราคนไทยไม่ทิ้งกัน

อย่าลืมอธิษฐานเผื่อพี่น้องอาข่านะครับ

อย่าลืมอธิษฐานเผื่อพี่น้องอาข่านะครับ
เราต้องการคำอธิษฐานเผื่อ

ภาพนี้ให้บทเรียนอะไรบ้าง

ภาพนี้ให้บทเรียนอะไรบ้าง
จะปลอบใจ หนุนใจ กันเถิด

หัวเหดหยัง

หัวเหดหยัง
อย่าเว้าเรื่องแฟนอายเผิน

การเลือกคู่ครองที่ถูกต้อง

การเลือกคู่ครองที่ถูกต้อง
อย่าเทียมแอกกับคนไม่เชื่อ

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คุณรู้ไหมพระเยซูเป็นใครจริงๆ

คำถาม: พระเยซูคริสต์เป็นใคร?

คำตอบ: พระเยซูคริสต์เป็นใคร? ไม่เหมืิอนกับคำถามที่ว่า “พระเจ้ามีอยู่จริงไหม?” น้อยคนจะถามว่าพระเยซูคริสต์มีอยู่จริงไหม โดยทั่วไปผู้คนยอมรัับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นมนุษย์และทรงอยู่ในโลกนี้ที่ประเทศอิสราเอลเมื่อเกือบ2000 ปีที่ผ่านมา การถกเกิดขึ้นเมื่อหลักฐานแสดงตัวตนของพระองค์ถูกนำมาอภิปราย เกือบทุกศาสนามีหลักสอนว่าพระเยซูคืิอผู้เผยพระวจนะ หรืออาจารย์ที่ดี หรือคนที่เคร่งศาสนา ปัญหาคือ พระคัีมภีร์บอกเราว่าพระเยซูทรงเป็นมากกว่าผู้เผยพระวจนะ หรืออาจารย์ที่ดี หรือคนที่เคร่งศาสนาคนหนึ่ง

C.S. Lewis ผู้เขียนหนังสือ ชื่่อ คริสเตียนธรรมดา (Mere Christianity) เขียนว่า “ข้่าพเจ้าพยายามที่จะไม่ให้ใคร ๆ พูดอะไรโ่ง่ ๆ ที่คนชอบพูดกันเกี่ยวกับพระองค์ (พระเยซูคริสต์): เช่นว่า ฉัีนพร้อมที่จะยอมรับพระเยซูว่าเป็นผู้สอนทางด้านคุณธรรมที่ดี แต่รับไม่ได้กับการอ้างว่าทรงเป็นพระ เจ้า” นี่เป็นอะไรที่เราไม่ควรพูด เพราะหากคนธรรมดา ๆ จะพูดอะไร ๆ มากมายหลายอย่าง อย่างที่พระเยซูคริสต์ตรัีส ไม่น่าจะเป็นอาจารย์ที่ดีได้ แต่น่าจะเป็นคนบ้ามากกว่า -- ระดับเดียวกับคนที่พูดว่าตัวเองเป็นไข่ต้ม -- หรือไม่ก็เป็นมารซาตานมาจากนรก คุณต้องเลือก หากพระองค์ไม่ใช่พระบุตรของพระเจ้า ก็จะต้องเป็นคนบ้าหรืออะไรที่แย่ยิ่งกว่านั้น… คุณสามารถมองว่าพระองค์ทรงเป็นคนโง่คนบ้่าคนหนึ่ง ถ่มน้ำลายรดพระองค์ แล้วปลงพระชนม์พระองค์ในฐานะมารซาตาน หรือซบลงแทบพระบาทของพระองค์แล้วเรียกพระองค์ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่อย่าทำมาเป็นพูดเหลวไหลเลยว่าพระองค์ทรงเป็นอาจารย์ที่ดีคนหนึ่ง พระองค์ไม่ได้ให้ทรงเราเลือกแบบนั้น และไม่ได้ทรงตั้งพระทัยเช่นนั้น

แล้วพระองค์ทรงอ้างว่าทรงเป็นผู้ใด? พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นใคร? ประการแรกให้เราดูพระวจนะของพระเยซูในหนังสือยอห์น 10:30 “เรากับพระบิดาของเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” เมื่อมองอย่างเผิน ๆ นี่อาจดูเหมือนว่าไม่ใช่การยอมรับว่าทรงเป็นพระเจ้า แต่ ให้เรามาดูกันที่ปฎิกริยาของชาวยิวต่อคำพูดประโยคนี้ “เราจะขว้างท่านมิใช่เพราะการกระทำดี แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาท เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า” (ยอห์น 10:33) คนยิวเข้าใจดีว่าคำกล่้าวของพระเยซูคือการยอมรับว่าทรงเป็นพระเจ้า ในข้อพระคัมภีร์ข้อต่อ ๆ มา พระเยซูไม่ได้ทรงแก้ไขคำพูดของชาวยิวโดยปฏิเสธว่า “เราไม่ได้อ้างตัวว่าเป็นพระเจ้า” นั่นชี้ให้เห็นว่าพระเยซูตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าโดยการประกาศว่า “เรากับพระบิดาของเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” (ยอห์น 10:30) ยอห์น 8:58 เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ก่อนอับราฮัมบังเกิดมานั้นเราเป็น” อีกครั้งหนึ่งที่พวกยิวตอบโต้พระองค์ด้วยการหยิบก้อนหินขึ้นมาจะขว้างพระองค์ (ยอห์น 8:59) การประกาศหลักฐานแสดงตัวตนของพระองค์ว่า “เราเป็น” คือการนำพระนามที่ใช้เรียกพระเจ้าในพันธสัญญาเดิมมาใช้โดยตรง (อพยพ 3:14) ทำไมชาวยิวจึงต้องการเอาหินขว้างพระองค์อีก หากพระองค์ไม่ได้ตรัสอะไรบางอย่างที่พวกเขาคิดว่าเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า ซึ่งก็คือ การอ้างพระองค์ว่าทรงเป็นพระเจ้า?

ยอห์น 1:1 กล่าวว่า “พระวาทะทรงเป็นพระเจ้า” ยอห์น 1:14 กล่าวว่า “พระวาทะได้ทรงสภาพของเนื้อหนัง” นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าในสภาพเนื้อหนัง สาวกโธมัสประกาศต่อหน้าพระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์” และพระองค์ไม่ได้ทรงแก้ไขเขา อัครสาวกยอห์นอธิบายเกี่ยวกับพระองค์ว่า “….พระเจ้าใหญ่ยิ่ง และพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา” (ทิตัส 2:13) อัครสาวกเปโตรพูดอย่างเดียวกัน “…. พระเจ้าและพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเราทั้งหลาย” พระเจ้าพระบิดาก็ทรงเป็นพยานเกี่ยวกับหลักฐานแสดงดัวตนของพระเยซูคริสต์เช่นกัน พระองค์ตรัสว่า “โอ พระเจ้าข้า พระที่นั่งของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์และเป็นนิตย์ ธารพระกรแห่งอาณาจักรของพระองค์ก็เป็นธารพระกรเที่ยงธรรม” (สดุดี 45:6) คำเผยพระวจนะเกี่ยวกับพระเจ้าในพันธสัญญาเดิมกล่าวถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ว่า “ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน และท่านจะเรียกนามของท่านว่า "ผู้ที่มหัศจรรย์ ที่ปรึกษา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช" (อิสยาห์ 9:6)

C.S. Lewis ถกว่า การเลือกเชื่อว่าพระเยซูเป็นอาจารย์ที่ดีไม่ใช่ตัวเลือก เพราะพระองค์ประกาศอย่างชัดเจนโดยเราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าพระองค์ ทรงเป็นพระเจ้า ดังนั้น หากพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า พระองค์ก็จะต้องเป็นจอมโกหก หากพระองค์ทรงเป็นนักโกหก พระองค์ก็จะต้องไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะ หรืออาจารย์ที่ดี หรือ คนที่เคร่งศาสนา แน่นอน ในความพยายามที่จะอธิบายเกี่ยวกับพระเยซูของ “นักวิชาการ” สมัยใหม่ พวกเขาบอกว่า “พระเยซูองค์แท้จริงในประวัติศาสตร์” ไม่ได้ตรัสหลาย ๆ อย่างที่พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับพระองค์ เราเป็นใครกันที่จะมาเถียงพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับว่าพระเยซูตรัสและไม่ได้ตรัสอะไร “นักวิชาการ” ที่เกิดห่างจากพระเยซูตั้งสองพันปีจะรู้ดีว่าพระองค์ตรัสหรือไม่ได้ตรัสอะไรกว่าคนที่อยู่กับพระองค์ ปรนิบัติพระองค์ และ ได้รัีบการสอนจากพระองค์ได้อย่างไร? (ยอห์น 14:26)?

ทำไมคำถามเกี่ยวกับหลักฐานที่พิสูจน์ว่าพระเยซูทรงเป็นใครจึงสำคัญ? ทำไม่ถึงการที่พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าหรือไม่จึงเป็นเรื่องสำคัีญ? เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ พระเยซูจะต้องทรงเป็นพระเจ้า หากไม่ใช่ การสิ้นพระชนมฺ์ของพระองค์ก็คงจะไม่เพียงพอที่จะไถ่บาปให้กับคนทั้งโลก (1 ยอห์น 2:2) มีพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงสามารถจ่ายค่าจ้างที่ไม่มีที่สิ้นสุดได้ (โรม 5:8; 2 โครินธ์ 5:21) พระเยซูจะต้องทรงเป็นพระเจ้าเพื่อที่พระองค์จะได้ทรงไถ่บาปให้กับเราได้ พระองค์จะต้องทรงเป็นมนุษย์ เพื่อที่พระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์ได้ เราจะรับความรอดได้ก็โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น! ด้วยความเป็นพระเจ้าของพระองค์คือเหตุผลว่าทำไมพระองค์จึงทรงเป็นทางเดียวที่นำเราไปสู่ความรอด ด้วยความเป็นพระเจ้าของพระองค์คือเหตุผลว่าทำไม่พระองค์จึงทรงประกาศว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา” (ยอห์น 14:6)
/// เมื่อเรารู้ว่าพระเยซูเป็นแล้วคุณจะรู้ว่าท่านสำคัญกับคุณและคนทั้งโลกแน่นอนครับ ขอเพียงอ่านแล้วเปิดใจเราจึงเข้าใจได้ครับ

ฉันไปสวรรค์ได้จริงหรือ

การไปสวรรค์ - ฉันจะรับประกันได้อย่างไรว่าฉันไปถึงจุดหมายปลายทางนิรันดร?

คำถาม: การไปสวรรค์ - ฉันจะรับประกันได้อย่างไรว่าฉันไปถึงจุดหมายปลายทางนิรันดร?

คำตอบ: ลองเผชิญสิ วันนั้นเราแต่ละคนจะก้าวไปสู่นิรันดร ซึ่งอาจเร็วกว่าที่เราคิดก็ได้

ในการเตรียมตัวสำหรับวินาทีนั้น เราจำเป็นต้องทราบความจริง ไม่ใช่ทุกคนจะได้ไปถึงสวรรค์

เราสามารถทราบแน่ชัดได้อย่างไรว่าเราเป็นหนึ่งในผู้ที่จะไปถึงสวรรค์นิรันดร เมื่อ 2000 ปีที่ผ่านมา อัครทูตเปโตรและยอห์นได้ทำการประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ต่อหน้าฝูงชนขนาดใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม ตอนนั้นเองที่เปโตรได้กล่าวถ้อยคำสั่งสอนอย่างลึกซึ้ง ที่ส่งเสียงสะท้อนก้องอยู่แม้จะพ้นยุคโลกปัจจุบัน: "ในผู้อื่นไม่มีความรอดเลย เพราะไม่ได้ประทานนามอื่นที่จะช่วยให้เราทั้งหลายรอดแก่มนุษย์ทั่วใต้ฟ้า" (กิจการ 4: 12)

แม้ในบรรยากาศทุกวันนี้ที่บอกว่า "ทุกหนทางนำไปสู่สวรรค์" นี้ไม่ได้เป็นวาทกรรมที่ถูกต้องทางการเมือง มีหลายคนที่คิดว่าพวกเขาสามารถไปสวรรค์โดยไม่ต้องมีพระเยซู พวกเขาต้องการคำมั่นสัญญาทั้งหลายที่นำไปสู่สง่าราศี แต่พวกเขาไม่ต้องการจะใส่ใจเรื่องกางเขน และท่านผู้หนึ่งที่ถูกตรึง และสิ้นพระชนม์ที่นั่นเพราะความบาปของทุกคนที่เชื่อในพระองค์ หลายคนไม่ต้องการที่จะยอมรับว่าพระเยซูเป็นทางเดียวและมุ่งมั่นที่จะแสวงหาหนทางอื่น แต่พระเยซูเองทรงเตือนเราว่าไม่มีหนทางอื่นเป็นจริงได้ และผลกระทบที่ตามมาเพราะการไม่ยอมรับความจริงนี้นำไปสู่นรกชั่วนิรันดร พระเยซูได้ทรงสอนเราชัดเจนว่า "ผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ แต่ผู้ใดไม่ยอมรับพระบุตรก็จะไม่ได้เห็นชีวิต เพราะพระพิโรธของพระเจ้ายังอยู่กับเขา" (ยอห์น 3:36)

บางคนจะเถียงว่ามันเป็นความใจแคบของพระเจ้าอย่างยิ่งที่ทรงให้เพียงทางเดียวที่จะไปสวรรค์

แต่ ถ้าพูดตรงๆ มองในแง่ที่มนุษยชาติขบถต่อต้านพระเจ้า ก็ยิ่งนับเป็นพระกรุณาอย่างล้นเหลือของพระองค์ที่ยังทรงประทานหนทาง ให้เราไปสวรรค์ได้ เราสมควรได้รับการตัดสินลงโทษ แต่แทนที่เป็นดังนั้น ยังทรงหาหนทางให้เราหลุดพ้น โดยการส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาสิ้นพระชนม์เพื่อชำระบาปของเรา ไม่ว่าจะมีคนเห็นว่านี่เป็นความใจแคบหรือใจกว้าง มันก็เป็นความจริง และคริสเตียนจำเป็นต้องรักษาข่าวประเสริฐที่ชัดเจน ไม่มัวหมองว่ามีทางเดียวที่จะไปสวรรค์โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์

วันนี้มีหลายคนที่เชื่อถือการประกาศที่หลั่งไหลเข้ามาแทนข่าวประเสริฐที่มีการยกโทษบาปคนทั้งหลายที่สำนึกผิด พวกเขาต้องการเชื่อในพระเจ้าผู้เต็มไปด้วยความรัก ไม่เกี่ยวข้องการตัดสินลงโทษ ผู้ไม่ต้องการให้กลับใจใหม่และไม่ต้องให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต

พวกเขาอาจจะพูดว่า "ฉันเชื่อในพระเยซูคริสต์ แต่พระเจ้าของฉันไม่ตัดสินลงโทษ พระเจ้าของฉันจะไม่ส่งคนไปตกนรก" แต่เราไม่สามารถมีสองทางได้ ถ้าเรายอมรับที่จะเป็นคริสเตียน เราต้องยอมรับพระคริสต์ตามที่ทรงตรัสว่าพระองค์ทรงเป็น - ผู้เดียวและทางเดียวที่นำไปถึงสวรรค์ การไม่ยอมรับ เท่ากับปฏิเสธพระเยซูเอง เพราะพระองค์เองทรงประกาศว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา" (ยอห์น 14:6)

ยังคงมีคำถามอีก: แท้จริงแล้วใครล่ะจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าได้ ฉันสามารถรับประกันจุดหมายปลายทางนิรันดรของฉันได้อย่างไร คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ เราเห็นได้จากผู้ที่มีชีวิตนิรันดร์จะแตกต่างเด่นชัดกับผู้ที่ไม่มี "ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรของพระองค์ก็ไม่มีชีวิต" (1 ยอห์น 5:12) บรรดาคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ผู้ที่ได้ยอมรับว่าพระองค์ทรงเสียสละ

พระชนม์เพื่อชำระความบาป และ ผู้ที่ติดตามพระองค์อย่างเชื่อฟังจะมีชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์ แต่บรรดาผู้ที่ปฏิเสธพระองค์จะไม่มี "ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า" (ยอห์น 3:18)

สวรรค์จะเป็นที่น่าเกรงขามสำหรับผู้ที่เลือกพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นรกจะเป็นที่น่าสะพรึงกลัวมากสำหรับคนที่ปฏิเสธพระองค์ เราควรบอกข่าวประเสริฐแก่ผู้หลงหายไปอย่างเร่งด่วนมากขึ้น ถ้าเราเข้าใจความบริสุทธิ์และความชอบธรรมของพระเจ้าที่จะทรงช่วยผู้ที่ได้เคยปฏิเสธการให้อภัยบาปอย่างหาที่สุดมิได้ ของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้า คนไม่สามารถอ่านพระคัมภีร์อย่างเอาจริงเอาจังได้โดยไม่อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก- ควรขีดเส้นใต้ พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่ามีเพียงผู้เดียวและทางเดียวที่จะไปถึงสวรรค์-โดยทางพระเยซูคริสต์ พระเยซูได้ทรงให้คำเตือนนี้แก่เรา “จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะประตูใหญ่และทางกว้างนำไปสู่ความพินาศ และคนเป็นอันมากเข้าไปทางนั้น ส่วนประตูเล็กและทางแคบนำไปสู่ชีวิต และมีเพียงไม่กี่คนที่ค้นพบ” (มัทธิว 7:13-14)

มีเพียงทางเดียวไปถึงสวรรค์ และผู้ที่ติดตามทางนั้นถูกรับรองว่าจะไปถึงแน่ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่กำลังไปตามทางนั้น คุณเป็นคนนั้นหรือไม่

คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”

ศาสนาช่วยมนุษยืได้ไหม

///ศาสนาช่วยมนุษย์ได้จริงหรือครับ

"ทุกศาสนาสอนคนให้เป็นคนดี" เป็นคำพูดที่ถูกต้อง 100 % (แต่ไม่ใช่ทุกศาสนาเหมือนกัน "ดี" ตรงนี้ หมายถึงแค่คำสอนขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่หลักข้อเชื่อ คำสอนศีลธรรมขั้นพื้นฐานคืออะไร ? ... ก็คือคำสอนที่ว่าอย่าโกหก อย่าล่วงประเวณี ห้ามขโมง ฯลฯ) เพราะถ้าหากไม่สอนให้คนเป็นคนดีแล้ว เขาคงจะไม่ตั้งเป็นศาสนา หรือเรียกว่าศาสนาอย่างแน่นอน ซึ่งพระคัมภีร์ เองก็สนับสนุนคำพูดนี้

"ศาสนานั้นดีถ้าผู้ใดใช้ให้ถูก" (1ทิโมธี 1:8)

จากข้อพระคัมภีร์ข้างต้นเราจะเห็นได้ว่า พระคัมภีร์ได้บอกว่า ศาสนานั้นดีถ้าใช้ให้ถูก

ใช้ถูกอย่างไร ? ... ก็คือใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์ของมัน

แล้วศาสนามีขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อะไรล่ะ ?

"...ศาสนานั้นทำให้เรารู้จักบาปได้" (โรม 3:2) (กาลาเทีย 3:19)

จากข้อพระคัมภีร์ข้างต้นนี้เราจะเห็นได้ว่าวัตถุประสงค์ของศาสนาก็เพื่อให้มนุษย์รู้จักบาปได้

หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ศาสนานั้นเปรียบเสมือนเครื่องเอ็กซเรย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ที่ดี คือนำมาวินิจฉัยโรคภายในตัวของมนุษย์ (ซึ่งเราก็ไม่จำเป็น จะต้องมานั่งเถียงกันว่าเครื่องเอ็กซเรย์ยี่ห้อไหนมันดีกว่ากัน) เมื่อคนหนึ่งที่มีโรคร้ายถ้าเขา จะเข้าไปหาเครื่องเอ็กซเรย์ ก็จะทำให้เขาเห็นความน่ากลัวของโรคร้ายมากขึ้น

เช่นเดียวกัน เมื่อมนุษย์ยิ่งเข้าใกล้ชิดศาสนาเขาก็จะยิ่งเห็นถึงความน่ากลัวของความผิดบาปของตนเอง ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นด้าน

ความคิด ที่สกปรก คิดไม่ดี แช่งสาป อิจฉาริษยา
ตา ใช้ตาในทางที่ผิด มองในสิ่งที่ไม่ควรมอง ฯลฯ ถ้าตาเราเหมือนกับเครื่องฉายหนัง ใครกล้าเอามาฉายให้คนอื่นดูว่าเขามองอะไรมาบ้าง
ปาก พูดในสิ่งที่ทำลายคนอื่น ใช้ลิ้นนินทา ด่าว่า พูดคำหยาบ โกหก พูดเสียดสี ถ้าปากของเราเป็นเครื่องบันทึกเสียง ใครกล้าเอามาเปิดให้คนอื่นฟังว่าเขาพูดอะไรบ้าง
มือ ขโมย ฆ่า แต๊ะอั๋งผู้หญิง ฯลฯ ลองถามตัวเองดูสิว่า มือคู่นี้ของเราไม่เคยขโมยหรือ ?

และยังมีความผิดบาปอีกมากมาย ที่เมื่อคนคนหนึ่งเข้าใกล้ชิดศาสนาจะสามารถเห็นได้ในตัวเขา แต่แม้จะเห็นและรู้อย่างชัดเจนก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้

เครื่องเอ็กซเรย์รักษาโรคไม่ได้ฉันใด ศาสนา ก็รักษาโรคบาปไม่ได้ฉันนั้น

เครื่องเอ็กซเรย์เป็นทางผ่านพาคนป่วยไปหาหมอเพื่อรักษา โรคร้ายฉันใด ศาสนาก็เป็นทางผ่านฉันนั้น

ปัญหาที่มนุษย์ทุกคนเผชิญอยู่ทุกวันนี้ "ไม่ใช่ไม่รู้ว่าตัวเองมีบาป" และมิใช่ว่า "ไม่รู้ว่าจะต้องความผิดบาปออก" เพราะศาสนาหรือเครื่องเอ็กซเรย์ก็ได้ชื่อให้เห็นถึงความผิดบาปหรือโรคร้ายที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์แล้ว และเขาก็รู้ดีว่าเขาจะต้องเอาออ

แต่ปัญหาของมนุษย์อยู่ที่ว่า "ฉันเป็นคนไข้ ฉันไม่ใช่หมอ ฉันจะช่วยตัวเองได้อย่างไร ฉันต้องการหมอ"

แล้วใครล่ะคือหมอผู้ที่สามารถรักษาโรคบาปนั้นได้ เมื่อเรารู้แล้วว่ามนุษย์ทุกคนต่างก็มีเชื้อ ?





อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์

จากหนังสือ ศาสนา...ช่วยมนุษย์ได้จริงหรือ?

Christian believe ความเชื่อคริสเตียน

หลักความเชื่อจริงๆคืออะไรครับ

ถ้าผม กับประธานาธิบดีของสหรัฐเป็นเพื่อนกัน คนก็รู้กันทั่วโลก

วันหนึ่ง ประธานาธิบดีเกิดหัวใจวายตายกระทันหัน และผมก็เอาศพของท่านไปฝังไว้ที่ห้องใต้ดิน โดยไม่ให้ใครรู้

ต่อมาเมื่อมีนักข่าวมาถามผมว่า "ประธานาธิบดีไปไหน"

ผมก็ตอบว่า "ท่านไปเมืองนอก 2-3 เดือน"

คุณคิดว่าเขาจะเชื่อผมไหม

แน่นอน เขาอาจจะเชื่อคำพูดของผม

แต่เชื่อเกิน 100 ปีไหมครับ ? ... ไม่มีทางเด็ดขาด

ไม่ต้อง 100 ปีหรอกครับ ผ่านไปครึ่งปี เขาก็ไม่เชื่อผมแล้ว

แต่นี่เกือบ 2,000 ปีมาแล้ว คนก็ยังเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย และยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี

ซึ่งถ้าคุณจะศึกษาประวัติศาสตร์แล้ว คุณก็จะรู้ว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีคนยอมตายเพื่อจะเป็นพยานว่า พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากตายจริง ๆ ถึง 40 ล้านคน และจำนวนของคนที่ยอมตายเพื่อความเชื่อนี้ กำลังเพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้

คุณลองคิดดูสิครับ ถ้าพระองค์ไม่ได้เป็นขึ้นจากความตาย ความเชื่อนี้จะอยู่ได้อย่างไร เกือบ 2,000 ปีมาแล้ว และยังมีคนตายเพื่อความเชื่อนี้มากมายอีกด้วย ?

ถ้าคุณจะถามผมว่า "อะไรคือรากฐานที่สำคัญที่สุดของศาสนาคริสเตียน ?"

นั่นก็คือ "พระเยซูคริสต์ตายแล้ว 3 วัน หลังจากนั้นพระองค์ก็ฟื้นจากตายและยังมีชีวิตอยู่ จนถึงทุกวันนี้และตลอดไปเป็นนิตย์"

เพียงแต่คนคนหนึ่งหาเหตุผลเพียงข้อเดียว มาพิสูจน์ว่า เรื่องการฟื้นจากตายของพระเยซูคริสต์เป็นเรื่องโกหก เขาก็สามารถที่จะ ลบล้างศาสนาคริสเตียนออกจากโลกนี้ได้เลย

และตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีคน เป็นจำนวนมากพยายามหาหลักฐานเพื่อจะมาลบล้างความเชื่อถือนี้ของคริสเตียน แต่ข้อมูลและหลักฐานที่พวกเขาค้นพบนั้นมันกลับยิ่งสนับสนุนมากยิ่งขึ้นว่า พระเยซูคริสต์ได้ฟื้นจากความตายแล้วจริง ๆ

พระเยซูเกิดในหมู่บ้านชาวนา ในคอกสัตว์ มีชีวิตที่ยากจน มีอาชีพเป็นช่างไม้ พระองค์ไม่ใช่คนรวย ไม่มีอำนาจทางการเมือง ไม่เคยเขียนหนังสือแม้แต่เล่มเดียว ไม่เคยเดินทางไกลเกิน 200 กิโลเมตร จากที่ที่พระองค์เกิด

เมื่อพระองค์อายุ 30 ปี ก็เริ่มประกาศข่าวดีแห่งความรอดให้แก่มนุษย์

เมื่อพระองค์อายุ 33 ปี คนก็ไม่ต้อนรับพระองค์ พระองค์ถูกพวกศัตรูของพระองค์พาพระองค์ไปขึ้นศาลเตี้ย และพระองค์ก็ทรงถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการตรึงบนไม้กางเขน

เมื่อพระองค์ตาย เขาก็นำศพของพระองค์ไปฝังไว้ในอุโมงค์ แต่พระองค์ก็ไม่ยอมอยู่ในนั้น

3 วันต่อมา พระองค์ก็ลุกขึ้น

ผ่านไปเกือบ 2,000 ปี พระองค์ก็ยังทรงเป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์ เป็นผู้นำของพวกเรา

ไม่ว่าเรื่องของพระองค์ไปที่ไหน ความหวังใหม่ ชีวิตใหม่ และการอภัยโทษบาปก็ไปถึงที่นั่น จนมีคำกล่าวว่า

"กองทัพที่เคยรบ เรือรบที่เคยแล่น กษัตริย์ที่ครองราชย์ ไม่มีผลต่อมนุษย์เท่ากับพระองค์เพียงคนเดียวเลย"

เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณจะปฏิเสธพระองค์ได้หรือ ?



อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์

จากหนังสือ ศาสนา...ช่วยมนุษย์ได้จริงหรือ?

///พระคัมภีร์มีคำตอบครับ

///พระคัมภีร์มีคำตอบครับ

พระคัมภีร์มีข้อผิดพลาด, สิ่งที่ขัดแย้งกัน, สิ่งที่ไม่ตรงกันไหม?

คำถาม: พระคัมภีร์มีข้อผิดพลาด, สิ่งที่ขัดแย้งกัน, สิ่งที่ไม่ตรงกันไหม?

คำตอบ: หากท่านอ่านพระคัมภีร์โดยไม่ลำเอียงหรือพยามยามที่จะค้นหาข้อผิดพลาด ท่านก็จะพบว่าพระคัมภีร์เป็นหนังสือที่แสดงเรื่องราวต่อเนื่องกัน, สอดคล้องกัน, และง่ายต่อการเข้าใจ แน่นอนว่ามีข้อความบางตอนที่ยาก และบางตอนดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกันเอง แต่เราต้องเข้าใจว่าพระคัมภีร์ถูกเขียนโดยคนประมาณ 40 คนโดยใช้เวลานานประมาณ 1500 ปี ผู้เขียนแต่ละคนเขียนด้วยลีลาที่แตกต่างกัน จากมุมมองที่แตกต่างกัน ถึงผู้ฟังที่แตกต่างกัน และด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราจึงควรคาดหวังที่จะเห็นข้อแตกต่างบ้าง! แต่อย่างไรก็ตามข้อแตกต่างที่ว่าไม่ใช่ข้อขัดแย้ง มันจะถือว่าเป็นข้อผิดพลาดได้ก็ต่อเมื่อข้อความในพระคัมภีร์ขัดแย้งกันจนไม่สามารถลงรอยกันได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังหาคำตอบไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคำตอบ มีหลายคนพบว่าสิ่งที่คิดว่าเป็นข้อผิดพลาดในพระคัมภีร์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์หรือภูมิศาสตร์ หลักฐานทางโบราณคดีที่ถูกค้นพบต่อมาก็ได้พิสูจน์ว่าพระคัมภีร์ถูกต้อง

ในเว็บภาษาอังกฤษของเรา เราได้รับคำถามทำนองนี้บ่อย ๆ “ช่วยอธิบายหน่อยว่าข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ไม่ได้ขัดแย้งกัน” หรือ “นี่ไงข้อผิดพลาดในพระคัมภีร์!” เราต้องยอมรับว่าบางครั้งคำถามที่ถามมาเป็นเรื่องยากที่จะตอบ แต่เรายืนยันว่าทุกข้อสงสัยที่ว่าข้อพระคัมภีร์ขัดแย้งกันเองและมีข้อผิดพลาด มีคำตอบที่เป็นไปได้ สมเหตุสมผล และรับได้ มีหนังสือและเว็บมากมายที่พิสูจน์ว่าสิ่งที่คิดว่าเป็นข้อผิดพลาดทุกประการในพระคัมภีร์นั้นไม่จริง แต่เป็นที่น่าเสียใจว่าคนที่โจมตีพระคัมภีร์ไม่ได้สนใจในคำตอบอย่างแท้จริง – นอกจากจะโจมตีพระคัมภีร์เท่านั้น – คนที่ชอบ “โจมตีพระคัมภีร์” หลายคนรู้คำตอบดี แต่ก็ยังอยากโจมตีอยู่ดีด้วยการใช้การโจมตีตื้น ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทีนี้ท่านจะทำอย่างไรหากมีคนถามเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นข้อผิดพลาดในพระคัมภีร์? (1) จงศึกษาข้อพระคัมภีร์ด้วยใจอธิษฐาน แล้วดูว่ามีคำตอบง่าย ๆ ไหม (2) ค้นคว้าหาข้อมูลจากฐานข้อมูลที่ดีที่สุดเช่นหนังสืออธิบายพระคัมภีร์, หนังสือ “สู้คดีพระคัมภีร์” และเว็บต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช่ได้ (3) ถามศิษยาภิบาล/หรือผู้นำคริสตจักรของท่านดูว่าเขาจะมีคำตอบให้ท่านไหม (4) หากท่านทำทั้งข้อ 1, 2 และ 3 แล้วก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนก็ขอให้ท่านวางใจในพระเจ้าว่าพระวจนะของพระองค์เป็นความจริงและมันจะต้องมีคำตอบอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งที่ท่านยังหาไม่เจอเท่านั้น (2 ทิโมธี 2:15; 3:16-17)

คนไทยร่วมใจประกาศ Christian Thai join to preach gospel

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หอพักพระกรุณาธิคุณ เชียงราย บ้านป่าซาง อ.แม่ลาว


วันนี้ที่เชียงราย





จากวันวานที่ผ่านมา








คำสอนเรื่องครอบครัว The Teaching about family life


 Ephesian เอเฟซัส 5:21-33  ( สามีและภรรยา-Husband & Wife )
21จงยอมฟังกันและกันด้วยความเคารพในพระคริสต์ 22ฝ่ายภรรยา   จงยอมฟังสามีของตน   เหมือนยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า 23เพราะว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา   เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร   ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์   และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักร 24คริสตจักรยอมฟังพระคริสต์ฉันใด   ภรรยาก็ควรยอมฟังสามีทุกประการฉันนั้น 25ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน   เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร   และทรงประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร 26เพื่อจะได้ทรงทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์   โดยการทรงชำระด้วยน้ำและพระวจนะ 27เพื่อพระองค์จะได้มีคริสตจักรที่มีสง่าราศี   ไม่มีตำหนิริ้วรอย   หรือมลทินใดๆเลย   แต่บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ 28เช่นนั้นแหละ   สามีจึงควรจะรักภรรยาของตนเหมือนกับรักกายของตนเอง   ผู้ที่รักภรรยาของตนก็รักตนเอง 29เพราะว่าไม่มีผู้ใดเกลียดชังเนื้อหนังของตนเอง   มีแต่เลี้ยงดูและทนุถนอม   เหมือนพระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร 30เพราะว่าเราเป็นอวัยวะแห่งพระกายของพระองค์ 31เพราะเหตุนี้  ผู้ชายจึงจะละบิดามารดาของตน   ไปผูกพันอยู่กับภรรยา   และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน 32ความจริงที่ฝังอยู่ในข้อนี้สำคัญ   ส่วนข้าพเจ้า   ข้าพเจ้าเข้าใจว่าหมายถึงพระคริสต์และคริสตจักร 33ถึงอย่างไรก็ดี   ท่านทุกคนจงต่างก็รักภรรยาของตนเหมือนรักตนเอง   และภรรยาก็จงยำเกรงสามีของตน

 21Be subject to one another out of reverence for Christ. 22Wives, be subject to your husbands, as to the Lord. 23For the husband is the head of the wife as Christ is the head of the church, his body, and is himself its Savior. 24As the church is subject to Christ, so let wives also be subject in everything to their husbands. 25Husbands, love your wives, as Christ loved the church and gave himself up for her, 26that he might sanctify her, having cleansed her by the washing of water with the word, 27that he might present the church to himself in splendor, without spot or wrinkle or any such thing, that she might be holy and without blemish. 28Even so husbands should love their wives as their own bodies. He who loves his wife loves himself. 29For no man ever hates his own flesh, but nourishes and cherishes it, as Christ does the church, 30because we are members of his body. 31"For this reason a man shall leave his father and mother and be joined to his wife, and the two shall become one flesh." 32This mystery is a profound one, and I am saying that it refers to Christ and the church; 33however, let each one of you love his wife as himself, and let the wife see that she respects her husband.





/// Obey for Wife ภรรยาจงเชื่อฟังสามี (เพราะไม่เชื่อฟัง)
/// Love for Husband  สามีจงรักภรรยา (เพราะไม่น่ารัก)



2  Timothy - ทิโมธี 3:14-17

14แต่ฝ่ายท่านจงดำเนินต่อไปในสิ่งที่ท่านเรียนรู้แล้วและได้เชื่ออย่างมั่นคง   ท่านก็รู้ว่าท่านได้เรียนมาจากผู้ใด 15และตั้งแต่เด็กมาแล้ว   ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์   ซึ่งสามารถสอนท่านให้ถึงความรอดได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 16พระคัมภีร์   ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า  และ(หรือ   ทุกตอนที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า   ก็) เป็นประโยชน์ในการสอน   การตักเตือนว่ากล่าว   การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี   และการอบรมในทางธรรม 17เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง
 14But as for you, continue in what you have learned and have firmly believed, knowing from whom you learned it 15and how from childhood you have been acquainted with the sacred writings which are able to instruct you for salvation through faith in Christ Jesus. 16All scripture is inspired by God and profitable for teaching, for reproof, for correction, and for training in righteousness, 17that the man of God may be complete, equipped for every good work.


/// ใครเป็นทิโมธีในบ้านของคุณ ในคริสตจักรของคุณ
     who is Timothy in your House and Church
/// ใครเป็นคนสร้างผู้รับใช้
     who is Teaching and Training the Servant

The word of God is perfect พระวจนะของพระเจ้าสมบูรณ์แบบ


 Psalm - สดุดี 19:7-11
 7กฎหมายของพระเจ้ารอบคอบ  
 และฟื้นฟูจิตวิญญาณ  
 กฎเกณฑ์ของพระเจ้านั้นแน่นอน  
 กระทำให้คนรู้น้อยมีปัญญา  
 8ข้อบังคับของพระเจ้านั้นถูกต้อง  
 กระทำให้จิตใจเปรมปรีดิ์  
 พระบัญญัติของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์  
 กระทำให้ดวงตากระจ่างแจ้ง  
 9ความยำเกรงพระเจ้านั้นสะอาดหมดจด  
 ถาวรเป็นนิตย์  
 กฎหมายของพระเจ้าก็สัตย์จริง  
 และชอบธรรมทั้งสิ้น  
 10น่าปรารถนามากกว่าทองคำ  
 ยิ่งกว่าทองนพคุณมากนัก  
 หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้ง  
 ที่หยดลงจากรวง  
 11อนึ่ง  สิ่งเหล่านี้เป็นที่ตักเตือนผู้รับใช้ของพระองค์  
 การที่จะรักษาข้อความเหล่านั้นก็ได้บำเหน็จอันใหญ่ยิ่ง  

 7Its rising is from the end of the heavens, and its circuit to the end of them; and there is nothing hid from its heat. 8The law of the LORD is perfect, reviving the soul; the testimony of the LORD is sure, making wise the simple; 9the precepts of the LORD are right, rejoicing the heart; the commandment of the LORD is pure, enlightening the eyes; 10the fear of the LORD is clean, enduring for ever; the ordinances of the LORD are true, and righteous altogether. 11More to be desired are they than gold, even much fine gold; sweeter also than honey and drippings of the honeycomb

พระเยซูเป็นใครในชีวิตคุณ who is Jesus in your life

I am your Lord - เราเป็นพระเจ้าของเจ้า
I am your King - เราเป็นกษัตริย์ของเจ้า
I am your Master - เราเป็นเจ้านายของเจ้า

จงรับใช้เราเถิด Serve me


จงจับคนเหมือนจับปลา
จงหาคนเหมือนหาปลา
จงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเราไม่ใช่แค่เป้นคริสเตียน
จงสร้างคนให้เป้นผู้รับใช้ไม่ใช่ผู้รับจ้าง
จงใช้พระวจนะแห่งความจริงอย่างถูกต้องไม่ใช่แค่ถูก
จงสอนสิ่งสารพัดเหล่านี้ที่เราสั่งเจ้าไว้ ไม่ใช่สิ่งที่เราสอนเอง
จงฟังพระเยซู จงฟังพระเยซูเตือน จงฟังพระเยซูแนะนำ


บทเรียนบัพติศมา



                                                                  บทเรียนบัพติศมา
- จุดประสงค์เพื่อให้ให้คริสเตียนเข้าใจพิธีบัพติศมาและเตรียมตัวเตรียมพร้อมในกาติดตามพระเจ้า
1. คำนำ ..... มีพิธีที่สำคัญมากสองอย่างของคริสเตียน คือ บัพติศมาและมหาสนิท
                   มีหลายคนไม่ยอมรับบัพติศมา มีหลายคนไม่เข้าใจบัพติศมา บางคนรับแบบผิดๆ
                    เช่น เพื่อเป็นคริสเตียน,เพื่อความรอด,เพื่อรับของประทาน,เพื่อ อื่นๆ

2. บทเรียนบัพติศมา
       2.1- ความหมายของพิธีบัพติศมา
                   - ความหมายของชาวยิวสมัยพระเยซู  มธ.3.1-12
                            คือ การสำนึกว่าเป็นคนบาปและสารภาพผิดพร้อมกลับใจ  ข.4-5
                            คือ การเตรียมใจของประชาชนเพื่อให้กลับใจจากบาปและรอรับการชำระจากพระเยซู ข.7-12
                                       - คือ ล้างบาปไม่ได้,ช่วยให้รอดไม่ได้,แต่เตรียมใจล้างใจ เตรียมความคิดให้รับพระเยซู
                                       ( กจ.18.24-28 19.1-7)
                                       - คือ ยอห์นเป็นผู้เตรียมทาง,ปูทาง,นำทาง,แต่ไม่ใช่เป็นหนทางเหมือนพระเยซู ยน.14.6
                                                แต่ท่านเป็นเพียงผู้ชี้ทางและนำคนให้รู้จักกับพระเยซู
                   - ความหมายของชาวยิวหลังจากพระเยซูทรงพื้นขี้น  กจ.2.1- 42
                            คือ การสำนึกว่าตนเองเป็นคนบาปและยอมรับว่าพระเยซูคือผู้ไถ่ ข.37-42
                            คือ การรับเชื่อ โดยการยอมรับพระเยซและเป็นการละทิ้งศาสนาเดิม  ข.37
                            คือ การแสดงความเชื่อแท้ต่อหน้าสาธารณะชน
                    - ความหมายของคริสเตียนปัจจุบันนี้ โรม 6.1-4  คส.2.12
                            คือ การติดตามและติดสนิทกับพระเจ้าและการฝังชีวิตเก่าไว้กับพระองค์
                            คือ การสำแดงผลของความเชื่อที่แท้จริง
                                        *** มีบัพติศมา 2 อย่าง คือ บัพติศมาแห้ง กับบัพติศมาเปียก 1คร.12.13
                                       *** ความเข้าใจผิดเรื่องบัพติศมา
                                                    1. บัพติศมาเพื่อจะรอด หรือ เป็นคริสเตียน  1ปต.3.20-21
                                                            เช่น  กจ.8.4-24 ซีโมน  1คร.1.17-18 เปาโลบอกไม่ช่วยให้รอดได้
                                                    2. บัพติศมาเพื่อรับพระวิญญาณและของประทาน
                                                             เช่น  กจ.2.38 8.15-19 มธ.3.11 1คร.12.13 บัพติศมาด้วยพระวิญญาณ
                                                    3. บัพติศมาเพื่อเป็นลูกของพระเจ้า
                                                              เช่น คาทอลิกรับบัพติศมาให้เด็กเพื่อให้เด็กเป็นลูกพระเจ้าและล้างบาป
                                                                      *** ไม่ถูกต้องเพราะเด็กรู้เรื่องบาปและความรับผิดชอบต่อบาป
              สรุป..... บัพติศมาคือการที่คริสเตียนได้แสดงความเชื่อและฝังชีวิตเก่าและฟื้นขึ้นมีชีวิตใหม่กับพระเยซู
                            ไม่ใช่เพื่อรับความรอดหรือพระวิญญาณและของประทานอื่นๆ

บทเรียนบัพติศมา 2
- จุดประสงค์..... เพื่อให้สมาชิกเข้าใจความหมายของพิธีบัพติศมาและตัดสินใจรับอย่างถูกต้อง
- คำนำ ..... ทบทวนความหมายของพิธีบัพติศมา มี สามความหมาย
                       1. ความหมายสมัยยอห์น คือ ภาพการชำระมลทินเพื่อการนำและชี้ทางเตรียมใจรับพระเยซู
                       2. ความหมายสมัยคริสตจักรยุคแรก คือ การเลือกเชื่อและทิ้งศาสนาเดิมและอยู่ฝ่ายพระเยซู
                       3. ความหมายของคริสเตียนปัจจุบัน คือ การทิ้งฝังตัวเก่าและฟื้นขึ้นดำเนินชีวิตใหม่กับพระเยซู
                                *** ไม่ใช่เพื่อเป็นคริสเตียน หรือ เพื่อรับความรอด แต่เป็นผลของความเชื่อ
- เรื่องนำเสนอ ..... เหตุผลทำไมเรารับบัพติศมา 
        1. เพราะเป็นคำสั่งของพระเจ้า  
               ( มธ.28.19 มก.16.15-16 กจ.2.38 ,41 8.12-13 34-39 9.1810.47-4816.31-3319.5)
               - ผู้เชื่อต้องยอมรับคำสั่งและข้อเสนอเพื่อแสดงการเชื่อฟังและจงรักภักดีต่อพระเจ้า
               - ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ทำตามคำสั่งของพระเจ้าเพราะสำคัญและการสมัครใจรับบัพติศมา
               - ในพระคัมภีร์ไม่มีใคร ต่อต้าน หรือ ไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระเยซู
        2. เพราะเป็นการสำแดงและประกาศความเชื่อแท้ของคริสเตียน
               - ผู้เชื่อสมัยก่อนเป็นการประกาศตัวว่าเชื่อพระเยซูและทิ้งความเชื่อเดิม
               - ผู้เชื่อสมัยก่อนผู้รับบัพติศมาต้องยอมถูกข่มเหงและยอมตาม
               - ผู้เชื่อปัจจุบันเพื่อประกาศความเชื่อแท้และยอมติดตามพระเจ้าและทิ้งชีวิตเก่า
               - ผู้เชื่อปัจจุบันเพื่อประกาศและเป็นพยานเพื่อพระเจ้า
        3. เพราะเป็นขบวนการที่เข้าสู่การเป็นสมาชิกคริสตจักรที่สมบูรณ์
                - เพื่อเขาจะเป็นสมาชิกของคริสตจักรท้องถิ่นอย่างสมบูรณ์มีสิทธิ์ออกเสียง
                - เพื่อเขาจะเหมาะสมที่จะเข้าร่วมพิธีศิลมหาสนิทและซาบซื้งเมื่อเข้าใจความหมายแท้
                - เพื่อเขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายจิตวิญญาณ หรือ เลื่อนระดับอีกขั้นหนึ่ง
                - เพื่อเขาจะรู้สึกภูมิใจในการติดตามพระเจ้าและเข้าสนิทกับพระเยซู
           
             *** ทำไมคริสเตียนบางคนไม่ยอมรับบัพติศมา
                     1. เพราะยังไม่เชื่อจริงๆ
                     2. เพราะยังไม่รู้และไม่เข้าใจ
                     3. เพราะเข้าใจผิด เช่น กลัวกินเหล้า หรือ ทำบาปอีกไม่ได้
                     4. เพราะเชื่อแต่ยังไม่รับเชื่อ คือ ไม่กล้ายอมรับพระเยซูต่อหน้าคนอื่น
                     5. เพราะบางคนไม่เห็นว่าพิธีบัพติศมาเป็นสิ่งที่สำคัญ( เพราะมีบางคนสอนไม่รับก็รอด)
                     6. เพราะบางคนป่วย,พิการ,หรือ เสียชีวิตก่อน,อื่นๆ
            *** แต่เราไม่มีข้ออ้างที่ไม่รับบัพติศมาเมื่อเราเป็นผู้เชื่อแท้
                       - เพราะเป็นเรื่องน่ายินดี,เพราะเป็นการสำแดงและประกาศความเชื่อแท้
                       - เพราะเป็นโอกาสในการถวายเกียรติและเริ่มต้นชีวิตที่ดีต่อพระเจ้า
                       - เพราะทำให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่อีกขั้นและเหมาะสมในการร่วมกิจกรรมอื่นๆ
                       - เพราะทำให้เราไม่รู้สึกผิดในการติดตามพระเจ้า หรือ ร่วมพิธีศิลมหาสนิท

บทเรียนบัพติศมา 3

- จุดประสงค์.... เพื่อให้คริสเตียนเข้าใจเพื่อรับบัพติศมา
- คำนำ ..... ทบทวน      .....  ใครที่เหมาะสมในการรับบัพติศมาจริงๆ
           ...... มีหลายคนที่เชื่อพระเจ้าจริงๆแต่มีบางคนที่ยังไม่ควรที่จะรับบัพติศมา
- เรื่องนำเสนอ ..... ใครที่เหมาะสมจะรับบัพติศมา
      1. ผู้ที่เป็นผู้เชื่อแท้เท่านั้น 
            - คือผู้ที่รับเชื่อและมั่นใจในความรอดและมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า
                   คือ ต้องรับการบังเกิดใหม่และรับบัพติศมาแห้ง คือบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
                          ( 1คร.12.13  กจ.8. 26-40 )
             - เพราะคนที่เชื่อแต่ไม่รับเชื่อยังไม่รอด ยังไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่บังเกิดใหม่
                      จึงไม่ควรรับเพราะไม่มีประโยชน์ไม่มีผล ไม่มีส่วน ไม่เข้าใจ เหมือนเล่นอาบน้ำเท่านั้น
            - เพราะอันตรายและมีโทษ   เราจะเล่นๆกับพระเจ้าไม่ได้   (1คร.11.27-32 กจ.8.20-24)
                      ทำให้บางคนเสียชีวิต บางคนป่วย บางคนถูกพระเจ้าตีและลงโทษอื่นๆ
       2. ผู้ที่เข้าใจและพร้อมเท่านั้น  ( กจ.8.26-40 )
              - เพราะคนที่พร้อมคือคนที่เชื่อแท้และเข้าใจความหมายและมั่นใจในความรอด
              - เพราะคนที่พร้อมคือคนที่เต็มใจสมัครใจและพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำ
              - เพราะคนที่พร้อม คือคนที่ถวายตัวให้กับพระเจ้าและแสดงความรักและความเชื่อ
              - เพราะคนที่พร้อมเขามีชีวิตที่เหมาะสม คือ ทิ้งชีวิตเก่าแล้วและได้แล้ว
                         เช่น ขันที, และผู้คุม, คนสามพันคน, โครเนลิอัส,และสาวกของยอห์น
              *** เราจะไม่รับบัพติศมาเมื่อยังไม่พร้อมและยังไม่มั่นใจในการบังเกิดใหม่
              *** เราอย่ารับเมื่อไม่พร้อมเพราะถ้าไม่เข้าใจก็ไร้ประโยชน์
              *** เรารับเชื่อแม้ยังไม่รับเราก็ได้รับความรอดแต่ชีวิตยังไม่พร้อมก็ให้คอยก่อน
                            เพื่อความเหมาะสมและการมีระบบขั้นตอนเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า
·        ข้อคิดอื่นๆ
            - บางคนอยากรับบัพติศมาเพื่อจะได้เป็นคริสเตียนและได้ในรับรับในการสมัครงาน
            - บางคนอยากรับบัพติศมาเพื่อเอาใจแฟนเพื่อเข้าพิธีแต่งงานได้ เดี๋ยว อ. ไม่ทำพิธีให้
            - บางคนรับเพราะตามเพื่อนกลัวอายเพื่อนถ้าไม่รับพร้อมกัน
            - บางคนรับเพราะเกรงใจอาจารย์และมิชชันนารี
            - บางคนรับเพราะอยากเข้าเรียนในโรงเรียนพระคัมภีร์และโรงเรียนคริสเตียน
            - บางคนรับเพราะหวังผลบางอย่าง...... เช่น ซีโมน กจ.8.20
            - บางคนรับเพื่อจะรับความรอดตามคำสอนผิดๆ  ( 1ตป.3.20-21 ลก.23.39-41)
 * สรุปข้อให้เรารับด้วยความพร้อมและความเข้าใจจริงๆ
            - การรับบัพติศมาเป็นเรื่องน่ายกย่อง น่ายินดีและภูมิใจในการถวายเกียรติพระเจ้า
            - การรับบัพติศมาเป็นประตูสู่พระพรและการเติบโตอีกขั้นของชีวิตคริสเตียน
            - จงสมัครใจและเข้าใจและพร้อมจริงๆในการรับัพติศมาอยู่ที่ชีวิตเราและความเข้าใจ
            ***** เราเองเท่านั้นที่รู้ว่าพร้อมหรือไม่
บทเรียนบัพติศมา 4
-                    จุดประสงค์ ..... เพื่อให้คริสเตียนเข้าใจความหมายของพิธีบัพติศมาอย่างถูกต้อง
-                    คำนำ ...... ทบทวนบทเรียน1-3 ความหมาย,เหตุผล,ใครที่ควรรับบัพติศมา
-                    เรื่องนำเสนอ ..... เราควรรับบัพติศมาอย่างไร
*** คริสเตียนมีพิธีบัพติศมาแตกต่างกันดังนั้นเราต้องรู้และเข้าใจจริงๆ
*** คริสเตียนมีพิธีบัพติศมาอย่างไรบ้าง
          1. รับโดยการจุ่ม
          2. รับโดยการพรม
          3. รับโดยการเจิม
*** พระคัมภีร์สอนเรื่องวิธีการรับบัพติศมาอย่างไรที่ถูกต้อง
         1. โดยการจุ่ม
                 - เพราะตามความหมายในภาษากรีกบัพติศมาแปลว่าจุ่ม
                 - เพราะตามแบบอย่างของคริสเตียนสมัยเริ่มต้นโดยการจุ่ม
                 - เพราะพระคัมภีร์สอนและมีหลักฐานและเหตุผลให้รับโดยจุ่ม
                         เช่น ท่านยอห์นทำพิธีที่แม่นำจอร์แดน  มธ.3.13  ยน.3.23 เพราะต้องการน้ำมาก
                                 ใช้น้ำมากเพื่อการจุ่มตัวให้มิดลงไปในน้ำ
                  - เพราะการจุ่มเป็นภาพที่ดีและใกล้เคียงกับการชำระบาปและถูกฝังไว้และฟื้นขึ้นมา
                  - เพราะพระเยซูก็รับบัพติศมาจากยอห์นโดยการจุ่มในแม่น้ำจอร์แดนด้วย
          2. โดยการเจิม ไม่ใช่การรับบัพติศมาที่มนุษย์เป็นผู้ทำ
                   - เพราะเป็นงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่บัพติศมา  1คร.12.13 1ยน.2.27 ลก.4.18
                          ไม่มีมนุษย์คนใดเจิมเราได้นอกจากพระวิญญาณ คือ การประทับตรา อฟ.1.13-14
                   - เพราะการเจิมใช้ทำเป็นพิธีบัพติศมาไม่ได้เพราะคนละเรื่องและไม่สอดคล้องกัน
                            ** เพราะพวกเพนเทคอสที่ไม่เข้าใจพระคัมภีร์ได้เพิ่มการเจิมพระวิญญาณเข้ามา
                                     - คือ การรับพลังและฤทธิ์เดชจากพระเจ้าและทำให้เก่งและร้อนรน
                             ** เพราะพวกคาทอลิกให้การเจิมและพรมในการรับบัพติศมให้เด็กๆ
                                      - คือ เพื่อปลูกฝังให้เด็กๆนั้นรู้ว่าเขาได้เป็นลูกของพระเจ้าโดยบัพติศมา
              3. โดยการพรม ก็ไม่ใช่คำสอนในพระคัมภีร์
                         - เพราะเป็นการที่ไม่ให้ความสำคัญของพิธีบัพติศมาของกลุ่มเพรสไบทิเรียน
                                คือ เชื่อในพระเยซูอย่างเดียวก็รอดและไม่จำเป็นในการรับบัพติศมา
                                คือ เมื่อเห็นคำสั่งของพระเยซูและตัวอย่างในพระคัมภีร์เลยทำบัพติศมา
                                คือ ใช้เป็นข้ออ้างว่าบนดอยและบางแห่งไม่มีน้ำ แต่การพรมง่ายและสะดวก
                                        ( เพื่อนผมคนหนึ่งที่เคยอยู่กลุ่มนี้เขาได้รับบัพติศมาใหม่อีกครั้ง )
                          - เพราะการพรมพระคัมภีร์ไม่ได้สอนแต่ตีความหมายผิด  1ปต.1.2
                                 คือ หมายความว่าการที่พระเยซูชำระเราด้วยพระโลหิตของพระองค์
                                        แต่ท่านใช้คำว่าพรมเพื่อให้เห็นภาพการชำระให้บริสุทธิ์ในพระคัมภีร์เดิม
*** สรุป ...... เราเป็นคริสเตียนควรเชื่อฟังพระคัมภีร์และให้ความสำคัญในการรับบัพติศมา


          



                           

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
พวกเราเป็นกลุ่มคริสตจักรท่มีความเชื่อตามหลักของพระคัมภีร์อย่างเคร่งครัด เราเชื่อว่า เรารอดโดยพระคุณพระเจ้า และเชื่อในตรีเอกานุภาพ และพระคัมภีร์66เล่มเป็นการดลใจจากพระเจ้าและไม่มีความผิดพลาดของต้นฉบับ และพระวจนะของพระเจ้าเป็นแหล่งชีวิตและความจริง เป็นหนังสือท่ช่วยในการดำเนินชีวิตประจำวัน เราเชื่อว่าเมื่อเราเชื่อในพระองค์เราได้รับองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ในทันใดนั้น เพราะทรงประทับตราเรา ( เอเฟซัส 1:13-14)