ขอบคุณสำหรับเรือ

ขอบคุณสำหรับเรือ

ลุยช่วยคนที่น้ำท่วม

ลุยช่วยคนที่น้ำท่วม
ระวังเรือล่มนะ

ช่วยเหลือพี่น้องที่น้ำท่วม

ช่วยเหลือพี่น้องที่น้ำท่วม
เราคนไทยไม่ทิ้งกัน

อย่าลืมอธิษฐานเผื่อพี่น้องอาข่านะครับ

อย่าลืมอธิษฐานเผื่อพี่น้องอาข่านะครับ
เราต้องการคำอธิษฐานเผื่อ

ภาพนี้ให้บทเรียนอะไรบ้าง

ภาพนี้ให้บทเรียนอะไรบ้าง
จะปลอบใจ หนุนใจ กันเถิด

หัวเหดหยัง

หัวเหดหยัง
อย่าเว้าเรื่องแฟนอายเผิน

การเลือกคู่ครองที่ถูกต้อง

การเลือกคู่ครองที่ถูกต้อง
อย่าเทียมแอกกับคนไม่เชื่อ

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คุณอยู่กลุ่มไหน

1. คนโง่แต่ฉลาด
2. คนฉลาดแต่โง่
3. คนโง่ยิ่งโง่หนัก
4. คนฉลาดยิ่งฉลาด

สดุดี 14:1 คนโง่รำพึงอยู่ในใจของตนว่าไม่มีพระเจ้า เขาทั้งหลายก็เลวทรามลง กระทำกิจการที่น่าเกลียดน่าชัง ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี

สดุดี 14:2 พระเจ้าทรงมองฃลงมายังฟ้าสวรรค์ดูลุกหลานของมนุษย์ ว่าจะมีคนใดบ้างที่ฉลาดที่เสาะแสวงหาพระเจ้า

สุภาษิต 1:4 เพื่อให้ความหยั่งรู้แก่คนเขลา ให้ความรู้และความเฉลี่ยวฉลาดแก่คนหนุ่ม ทั้งปราชญ์จะได้ยินและเพิ่มการเรียนรู้และคนที่มีความเข้าใจตะได้ความชำชอง

สุภาษิต 3:7 อย่าคิดว่าตนฉลาด จงยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย

สรุปแล้ว คุณอยู่กลุ่มไหน ทุกคนต้องอยู่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแน่นอน โลกนี้จัดให้คุณ แต่คุณต้องจัดเองและเลือกเอง ว่าสมัครใจอยู่กลุ่มไหนดีเอย อ.สมชิต

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แม่สั่งให้เลิกคะ

ให้เลิกคบเดี๋ยวนี้เลย
สมหญิงกับสมชายพาแฟนหนุ่มไปพบแม่ เพื่อจะฝากเนื้อฝากตัว คุณแม่ : คุณเคยไปบาร์หรือผับหรือเปล่า? สมชาย : อย่างน้อยเดือนละครั้งครับ คุณแม่ : แล้วอบอาบนวด คาราโอเกะ และบ่อนการพนันล่ะ? สมชาย : ไปบ่อยครับ คุณแม่ : (น้ำเสียงเริ่มไม่สู้ดี) แล้วซ่องโสเภณีล่ะ? สมชาย : ก็ไปบ่อยครับ คุณแม่ : (หันมาทางลูกสาว) สมหญิง...แม่สั่งให้เลิกคบกับไอ้ผู้ชายคนนี้เดี๋ยวนี้เลย คนอะไรเลวร้ายเหลือทน? สมหญิง : คุณแม่ค่ะ สมชายเขาเป็นพนักงานเก็บค่าไฟฟ้าค่ะ คุณแม่ : ???!!!ข้อพระคัมภีร์ “จงฟังมากกว่าพูด” (ยากอบ ๑.๑๙)
ขอให้คริสเตียนไปในที่ที่เราควรไป คุณแม่จงตรวจสอบลูกเขยให้ละเอียดทุกซอกทุกมุมนะครับ

คริสเตียนต้องเป็นความสว่างของโลก

เหมือนกับวิธีการจุดไฟของพวกชนเผ่าตองเหลืองทางภาคเหนือของไทย ซึ่งอาศัยอยู่ในป่าลึกของจังหวัดแพร่และน่าน พวกเขาจะสร้างกระต๊อบแบบง่ายๆ พอใบไม้เหลืองก็จะโยกย้ายไปที่อื่น พวกเขาจุดไฟมิใช่เพื่อหุงหาอาหารเท่านั้น แต่เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย และเพื่อป้องกันสัตว์ร้ายมิให้เข้ามาใกล้ด้วยความสว่างของโลก ชนิดของความสว่าง ความสว่างมีหลายอย่าง เช่น ความสว่างจากเทียน ไฟฉาย เตาไฟ ตะเกียง หลอดไฟฟ้า สปอร์ตไลท์ ดวงดาว ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ เมื่อพระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก” (ข้อ ๑๔) ขอให้สังเกตว่า พระองค์ไม่ได้บอกว่าให้เราเป็นแสงสว่างชนิดไหน แต่ให้เป็น “แสงสว่าง”ก็พอแล้ว จะสว่างมากสว่างน้อยไม่สำคัญ พระเจ้าตรัสแก่ชนชาติอิสราเอลว่า “จงลุกขึ้นฉายแสง” (อสย. ๖๐.๑) “ความสว่าง” มาจากภาษากรีก phos (โฟส) หมายถึงแสง แสงไฟ ที่แจ้ง ส่องสว่าง แสงของตะเกียง แสงของดวงอาทิตย์ หรือดวงสว่างบนท้องฟ้า แสงประทีปและแสงจากกองไฟที่ลุกโชน ส่วนมากมักจะนำมาใช้ในลักษณะนามธรรม เปรียบเทียบว่า พระเจ้าและพระเยซูคริสต์ทรงเป็นความสว่าง ส่วนฝ่ายตรงข้ามคือผีมารซาตานนั้นเป็นฝ่ายความมืด “ความสว่างจะเข้าสนิทกับความมืดไม่ได้” (๒ คร. ๖.๑๔) บ้านของผมอยู่ในสวนและมีหนูชุกชุมมาก พอตกกลางคืนมันจะยกขบวนขึ้นมาวิ่งไล่อันอยู่บนฝ้าเพดานคึกๆตลอดคืนทำให้รำคาญและนอนไม่หลับ วันหนึ่งผมก็คิดได้ว่าที่บนฝ้าเพดานนั้นมันมืด น่าจะเอาหลอดไฟขึ้นไปติดให้มันสว่างเข้าไว้ แล้วก็จริงดังคาด นับตั้งแต่วันนั้นมาพวกหนูก็ไม่มากล้ำกรายอีกเลย ท่านทั้งหลาย พระเยซูไม่ได้บอกว่าใครๆก็สามารถเป็นความสว่างได้ แต่พระองค์เจาะจงลงไปที่ผู้เชื่อและไว้วางใจในพระองค์เท่านั้น บุคคลเหล่านี้ได้สารภาพความผิดบาป ต้อนรับเอาพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มีชีวิตจิตวิญญาณที่บังเกิดใหม่แล้ว ในสมัยโบราณคนเหล่านี้ถูกเรียกว่า พวกทางนั้น (คือทางพระเยซู) พวกคว่ำโลก (คือเมื่อเขาไปถึงที่ไหนก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงสังคมนั้นไปในทางที่ดี) และพวกคริสเตียน (เป็นคำเรียกแบบดูถูกดูหมิ่น) ในพระคัมภีร์เราพบว่า พระเยซูทรงเริ่มต้นเรียกพวกเขาเพียงไม่กี่คน และเป็นชาวประมงและคนเก็บภาษี ซึ่งถือว่าเป็นคนที่ต่ำต้อยในสังคมยุคนั้น แต่เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ปีก็ขยายออกไปนับร้อยนับพันคน จนกระทั่งปัจจุบันมีมากกว่า ๒๐ ล้านคนทั่วโลกที่ประกาศตัวว่าเป็นคริสเตียน!ตะเกียง “เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น ท่านทั้งหลายก็เป็นเหมือนตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง” (ข้อ ๑๕-๑๖) นักศาสนศาสตร์ชาวสิงคโปร์ชื่อซาบินได้บอกว่า “ในคืนเดือนมืดและท้องฟ้าโปร่ง ถ้าจุดเทียนไขขึ้นบนภูเขา ผู้ที่อยู่ห่างออกไปราว ๘๐ กิโลเมตรจะสามารถมองเห็นแสงไฟของเทียนไขนั้นได้” ซึ่งตรงกันคำตรัสของพระเยซู “นครซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้” เรื่องตะเกียงมีความหมายฝ่ายจิตวิญญาณดังนี้ ตัวตะเกียง คือผู้เชื่อทุกคน ซึ่งเป็นที่ประทับของพระเจ้า เปาโลบอกว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่ในท่าน” (๒ คร. ๖.๑๖) ไส้ตะเกียง คือความสัมพันธ์ส่วนตัวของคริสเตียนกับพระเจ้า อันได้แก่การอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ การนมัสการ และมีชีวิตติดสนิทเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเยซูคริสต์ น้ำมัน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ชีวิตของคริสเตียนจะไม่สามารถเป็นความสว่างได้เลยถ้าขาดพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคัมภีร์ตักเตือนผู้เชื่อว่า “อย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงประกอบด้วยพระวิญญาณ” (อฟ. ๕.๑๘) ผลของพระวิญญาณที่สำแดงออกคือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความซื่อสัตย์ ความสุภาพอ่อนน้อมและการรู้จักบังคับตน (กท. ๕.๒๒-๒๓) ไฟ คือความกระตือรือร้น ความร้อนรนในชีวิตประจำวันของผู้เชื่อ จำได้ไหมว่าพวกสาวกรุ่นแรกได้พากันรอคอยการเจิมอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม และในวันเพนเตคอสก็มีไฟตกลงมาจากสวรรค์ ลุกพรึบติดอยู่บนศีรษะของพวกเขาทุกคน พวกเขาจึงเป็น “คนมีไฟ” อย่างแท้จริง คริสเตียนในปัจจุบันควรจะเป็น “คนมีไฟ” เช่นเดียวกัน! ความสว่าง ทำให้เราคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในชนบท คืนหนึ่งคนตาบอดก็ได้จุดตะเกียงและเดินไปตามถนนในหมู่บ้าน ยังความแปลกใจให้แก่ผู้คนที่พบเห็นเป็นอย่างมาก มีคนถามเขาว่า “คุณตาบอดแล้วจุดตะเกียงมันจะมีประโยชน์อะไร?” “มีครับ” คนตาบอดตอบ “อย่างน้อยก็ป้องกันมิให้คนอื่นเดินมาชนผม” “???!!” แต่สำหรับคริสเตียนนั้นต่างออกไป เพราะพระเยซูตรัสว่า “เราเป็นความสว่างของโลก” (ยน. ๘.๑๒)เมื่อใครเชื่อในพระองค์แล้ว เขาก็เป็นความสว่างด้วย และต้องส่งความสว่างนั้นออกไป นำคนที่อยู่ในความมืด(ความผิดบาป)มาถึงพระคริสต์อุปสรรค การเป็นตะเกียงมีอุปสรรคหลายอย่าง เช่น ถูกลมพัด คืออุปสรรคปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตคริสเตียน การต่อต้าน เสียงนินทาว่าร้าย ทำให้เกิดความท้อแท้ใจ หรือบางทีเพราะว่าผู้เชื่อเป็นคนดีเกินไป หรือเป็นคนเลวอย่างคาดไม่ถึงก็เป็นได้ น้ำมันหมด คือชีวิตที่ไม่ได้ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีแต่เนื้อหนังและความผิดบาป (กท. ๕.๑๙-๒๑) เป็นเหมือนหญิงพรหมจารีห้าคนที่โง่เขลา น้ำมันหมดระหว่างรอคอยการมาของเจ้าบ่าว และพลาดโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย เอาถังครอบไว้ คือมีบางสิ่งบางอย่างปิดบังอยู่ ทำให้ผู้คนมองไม่เห็นแสงสว่างของพระคริสต์ในชีวิตของเรา ในภาษากรีก modios (มอดิออส) มีลักษณะเป็นถังที่ทำด้วยดินเหนียว ใช้สำหรับชั่วตวงเมล็ดพืช ในชีวิตของเรามีถังอะไรบ้าง? ถังแห่งความบาป ความเห็นแก่ตัว ขี้งก ขี้โลภ ถังแห่งการคดโกงคอรัปชั่น ปากร้าย ฯลฯ นักเขียนท่านหนึ่งได้บอกถึงลักษณะของคริสเตียนที่ดีว่า “มาดต้องตา วาจาต้องใจ ภายในต้องเยี่ยม!” หมายถึงคนของพระเจ้าต้องแต่งกายดี มีมนุษยสัมพันธ์(พูดจาดี) และมีจิตใจจิตวิญญาณเหมือนกับพระเยซูคริสต์สรุป นิตยสารไทม์ฉบับเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา มียอดการพิมพ์กว่า ๑ ล้านฉบับ ได้กำหนดปกเป็นภาพของเทศกาลคริสตมาส พระเยซูทรงประทับอยู่รางหญ้า แต่ในทันทีทันใดมีข่าวว่าได้จับชายที่อยู่ในความมืดได้ ภาพปกของนิตยสารก็เปลี่ยนไปเป็นภาพซัดดัม ฮุสเซนซึ่งซ่อนตัวอยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน! ตรงนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สังคมของมนุษย์ปัจจุบันชอบเรื่องของความมืดมากกว่าความสว่าง แต่พระเยซูตรัสว่า “พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดหาได้ชนะความสว่างไม่” (ยน. ๑.๔-๕) ในที่สุด “ผลของความสว่างคือความดีทุกอย่าง” (อฟ. ๕.๘) จงส่องสว่างออกไป เพื่อผู้คนได้เห็นความดีของคริสเตียนแล้ว เขาจะได้ยกย่องสรรเสริญพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์. ขอพระเจ้าทรงอวยพรให้ชีวิตของคริสเตียนเป้นความสว่างทุกๆวันไม่ใช่บางวันหรือเฉพาะวันอาทิตย์ และส่องสว่างทุกๆที่ไม่ใช่เฉพาะตอนอยู่ในโบสถ์เท่านั้น และคนท่เอาถังครอบไว้ก็รีบเอาออกเพราะถังมันร้อนจนจะละลายแล้ว ส่วนคนท่ตะเกียงจวนจะดับต้องรีบเติบนำมัน คือ การอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ และคนท่ตะเกี่ยงไม่ค่อยสว่างเพราะเขม่าเยอะ หรือบาปเยอะต้องรีบทำความสะอาด ขอให้ตะเกียงของเรามีไฟท่คนอื่นๆมองเห็นได้

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

จงยอมถวายตัวและหัวใจ

เทศนา
- จุดประสงค์....เพื่อให้คริสเตียนยอมถวายตัวและหัวใจอุทิศชีวิตให้พระเจ้า
- คำนำ..... พระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ตลอดทั้งเล่มจะสังเกตเห็นได้ว่าพระคัมภีร?เน้นและท้าทายให้ผู้เชื่อได้อุทิศชีวิตยอมถวายกายใจให้พระเจ้าเพราะเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด และปัญหาที่เกิดขึ้นก็เพราะผู้เชื่อทั้งหลายไม่ได้ถวายชีวิตให้กับพระเจ้าจริงๆ
- เรื่อง....จงถวายชีวิตให้กับพระเจ้า โรม 12.1-2
/// การถวายชีวิตให้กับพระเจ้าคืออะไร
/// การถวายชีวิตให้กับพระเจ้าทำไมคริสเตียนทั่วโลกไม่ยอมถวาย
1. เพราะกลัวว่าตนเองจะเสียอิสระภาพ (เหยื่อ)หรือถูกผูกมัด ผูกโยงในความรับผิดชอบ
คือ คิดว่าเมื่อสาบานและยอมถวายชีวิตให้กับพระเจ้าแล้ว จะหมดอิสรภาพและเหมือนเอาเชือกหรือโซ่มาล่ามตัวเอง ผูกมัดตัวเอง
/// นี้ คือ กลอุบาย ง่ายๆ ที่ซาตานใช้ได้ผล เพราะมนุษย์อยากทำตามใจของตนเองอยู่แล้ว
/// แต่พระเจ้ายิ่งทรงท้าทาย เชื้อเชิญ เพราะดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด ประเสริฐที่สุด และมีพระพรมากมายที่พระเจ้าทรง จัดเตรียมไว้และอวยพระพรให้เรา
เช่น อาเบล-คาอิน โนอาห์ อับราฮัม ยาโคบ โยเซฟ ดาวิด ดาเนียล อื่นๆ
/// บทเรียน ..... มารซาตานยังใช้สิ่งเหล่านี้ทำให้เราไม่กล้า ไม่ยอม ถวายชีวิตให้พระเจ้า
- อย่าหลงเชื่อ อย่าฟัง อย่าแก้ตัว อย่าหาทางหลีกเหลี่ยง เพราะอันตราย และผลสุดท้าย
เราเองจะเสียใจตลอดชีวิต และเสียโอกาส ดังนั้นเปาโลจึงวิงวอน เชื้อเชิญ ท้าทาย เราทุกคน
ยิ่งเราไม่ถวายตัว ยิ่งเป็นทาสของ งานและวัตถุ แต่พระเจ้าบอกว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท
พระเจ้าไม่บังคับเรา แต่ปรารถนาให้เราถวายชีวิตให้พระองค์ทั้งกายและใจ

2. เพราะกลัวว่าตนเองจะทำตามสัญญาไม่ได้ ตลอด (ยาก)
คิด เมื่อจะถวายตัว มารก็จะพูดกรอกหูว่า ทำไม่ได้หรอก ทำได้ไม่นาน ทำไม่จริง
และจะอายพระเจ้า จะอายคนอื่น และพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูไม่ให้สาบานอะไร
/// นี้เป็นกลอุบายอีกอย่างทีได้ผลดี เพราะเราขาดความมั่นใจอยู่แล้ว เราไม่อยากเสียอิสรภาพอยู่แล้ว และเราคิดว่าไม่มีใครจะรักษาสัญญาได้แน่นอน เช่น อับราฮัมก็พลาด,ดาวิดก็พลาด,ซาโลมอน อื่นๆ
/// บทเรียน เราอย่าคิดว่าตนเองทำไม่ได้ เราต้องลองและต้องพึ่งในพระเจ้าจึงจะทำได้ ต้องรักพระเจ้าจริงๆ เช่น เปาโลทำได้เพราะอะไร ,โยเซฟและโนอาห์ทำได้เพราะอะไร ...เพราะความสัมพันธ์ที่ดีและความรักที่มีต่อพระเจ้าและมองในแง่บวก และจะเห็นโอกาสและพระพรอย่างมากมาย ดังนั้นเปาโลและพระคัมภีร์ตลอดทั้งเล่มจึง เชื้อเชิญและท้าทาย เช่น ชีวิตผมเอง และคุณเองที่มีประสบการณ์
/// มารจะพูดกรอกหูตลอดเลยว่า ยังไง ยังไง ไม่มีทางที่คุณจะทำได้หรอก
และคุณเคยพุดอย่างนี้กับพระเจ้ากี่หนแล้วไม่เห็นทำได้พอสามวันสักที แต่พระเจ้าก็จะบอกเราว่า ถวายตัวเถิดลูกพ่อจะช่วยและอยู่เคียงข้าง พ่ออภัยเสมอและให้โอกาสลูกเสมอ ไม่ยากเลย คนอื่นทำได้ลูกก็ต้องทำได้ซิ

3. เพราะกลัวว่ามีงานและความรับผิดชอบเยอะ (ยุ่ง)
คือ กลัวว่าจะต้องดูแลและทำงานเยอะและยิ่งจะยุ่งมาก เพราะเวลาก็แทบไม่มีอยู่แล้ว
/// นี้เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ซาตานใช้ได้ผลดียอดเยี่ยม เพราะนิสัยของมนุษย์มักไม่อยากรับผิดชอบอะไรมากอยู่แล้ว และกำลังหาทางปัดทิ้งและหลีกเหลี่ยงอยู่แล้ว
/// และบางคนรู้ว่างานของพระเจ้าเยอะและยากมาก อยู่เฉยๆดีแล้วอย่าหาเห่าใส่หัวเลย อย่าหาเรื่องใส่ตัว มาโบสถ์และถวายทรัพย์อย่างสัตย์ซื่อก็พอแล้ว ดูซิคนอื่นๆเขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละ
/// แต่พระเจ้าทรงตรัสว่า งานของพระเจ้าไม่หนักและภาระก็เบา และพระเจ้าเองจะคอยช่วยไม่ใช่ให้เราทำคนเดียว ยิ่งเราไม่ยอมถวายตัวยิ่งยุ่ง ยิ่งเหยิง ยิ่งแย่ และยิ่งถวายพระเจ้ายิ่งเมตตาพอพระทัยและเทยพพระพรให้
สรุป..... นี้คือทางที่ดี โอกาสที่ดี สิ่งที่ดี.....เราต้องกล้าและฉลาดในการเลือก
จงฟังเสียงของพระเจ้า จงฟังผู้ที่ได้ชิมแล้ว รู้แล้ว เห็นแล้ว แนะนำเรา แม้ท่านเปาโลเองถึงกับท้าทาย เชื้อเชิญ แนะนำสิ่งที่ดีทางที่ดีที่สุดให้เรา คือ ยอมถวายตัวและหัวใจให้พระเจ้าเถิด จงกล้าถวาย อย่ากลัว อย่าเสียดาย เดี๋ยวจะเสียใจไปตลอดชีวิต

แบบอย่างการเป็นพยานของเปาโล

เมื่อเปาโลกำลังคอยสิลาสกับทิโมธีอยู่ในกรุงเอเธนส์นั้น ท่านมีความเดือดร้อนวุ่นวายใจ เพราะได้เห็นรูปเคารพเต็มไปทั้งเมือง 17เหตุฉะนั้นท่านจึงโต้ตอบในธรรมศาลากับพวกยิว และกับคนที่ถือพระเจ้า และกับคนทั้งหลายซึ่งมาพบท่านที่สนามชุมนุมทุกวัน 18ปรัชญาเมธีบางคนในพวกเอปิคูเรียน และในพวกสโตอิกได้มาพบท่าน บางคนกล่าวว่า "คนเก็บเดนความรู้เล็กๆน้อยๆอย่างนี้จะใคร่มาพูดอะไรให้เราฟังเล่า" บางคนกล่าวว่า "ดูเหมือนเขาเป็นคนนำพระต่างประเทศเข้ามาเผยแพร่" เพราะเปาโลได้ประกาศพระนามพระเยซู และเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย
19เขาจึงจับเปาโลพาไปยังสภาอาเรโอปากัส(หรือ เนินเขาอาเรโอ) แล้วถามว่า "เราขอรู้ได้หรือไม่ว่าคำสอนอย่างใหม่ที่ท่านกล่าวนั้นเป็นอย่างไร 20เพราะว่าท่านนำเรื่องแปลกประหลาดมาถึงหูของเรา เหตุฉะนั้นเราอยากทราบว่า เรื่องราวเหล่านี้มีความหมายว่าอย่างไร" 21เพราะชาวเอเธนส์กับชาวต่างประเทศซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น ไม่สนใจในอะไรอื่น นอกจากจะกล่าวหรือฟังสิ่งใหม่ๆ
22ฝ่ายเปาโลจึงยืนขึ้นกลางสภาอาเรโอปากัสแล้วกล่าวว่า "ดูก่อนท่านชาวกรุงเอเธนส์ โดยประการต่างๆข้าพเจ้าเห็นได้ว่า ท่านทั้งหลายเป็นนักศาสนา 23เพราะว่าเมื่อข้าพเจ้าเดินทางมาสังเกตดูสิ่งที่ท่านนมัสการนั้น ข้าพเจ้าได้พบแท่นแท่นหนึ่ง มีคำจารึกไว้ว่า 'แด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก' เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาประกาศ และแสดงให้ท่านทั้งหลายทราบ ถึงพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จักแต่ยังนมัสการอยู่ 24พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้น พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก มิได้ทรงสถิตในปูชนียสถานซึ่งมือมนุษย์ได้กระทำไว้ 25พระองค์มิจำต้องให้มือมนุษย์มาปรนนิบัติ ดังว่ามีความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานชีวิตและลมหายใจ และสิ่งสารพัดแก่คนทั้งปวงต่างหาก 26พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติ สืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่ 27เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้าและมุ่งหวังจะคลำหาให้พบพระองค์ ที่จริงพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย
28ด้วยว่า 'เรามีชีวิต และไหวตัว และเป็นอยู่ในพระองค์' ตามที่กวีบางคนในพวกท่านได้กล่าวว่า 'แท้จริงเราทั้งหลายเป็นเชื้อสายของพระองค์' 29เหตุฉะนั้นเมื่อเราเป็นเชื้อสายของพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่ควรถือว่าพระเจ้าทรงเป็นทอง เงิน หรือหิน อันเป็นปฏิมากรสำเร็จด้วยศิลปะและความคิดของมนุษย์ 30ในเวลาเมื่อมนุษย์ยังไร้เดียงสา พระเจ้ามิได้ทรงถือโทษ แต่เดี๋ยวนี้ พระเจ้าได้ตรัสสั่งแก่มนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่งให้กลับใจใหม่ 31เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยมนุษย์ผู้นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้ และพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงมีความแน่ใจในเรื่องนี้ โดยทรงให้มนุษย์ผู้นั้นคืนชีวิต"
32ครั้นคนทั้งหลายได้ยินถึงเรื่องการซึ่งเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว บางคนก็เยาะเย้ย แต่บางคนว่า "ข้าพเจ้าจะคอยฟังท่านกล่าวเรื่องนี้อีกต่อไป" 33แล้วเปาโลจึงออกไปจากเขา 34แต่มีบางคนติดตามเปาโลไปและได้เชื่อถือ ในคนเหล่านั้นมีดิโอนิสิอัสผู้เป็นสมาชิกสภาอาเรโอปากัส กับหญิงคนหนึ่งชื่อดามาริสและคนอื่นๆด้วย
///// แนวทางในการเป็นพยานจากเปาโล
1. เปาโลอธิบายว่าพระเจ้าแท้ต้องเป็นผู้สร้าง ไม่ใช้พระเจ้าที่ถูกสร้าง
พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้น พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก มิได้ทรงสถิตในปูชนียสถานซึ่งมือมนุษย์ได้กระทำไว้
พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติ สืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่ 27เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้าและมุ่งหวังจะคลำหาให้พบพระองค์ ที่จริงพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย
2.เปาโลอธิบายว่าพระเจ้าแท้ต้องเป็นผู้ให้ไม่ใช่มนุษย์เป็นฝ่ายให้

พระองค์มิจำต้องให้มือมนุษย์มาปรนนิบัติ ดังว่ามีความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานชีวิตและลมหายใจ และสิ่งสารพัดแก่คนทั้งปวงต่างหาก
3. เปาโลอธิบายว่าพระเจ้าแท้ต้องเป็นผู้พิพากษา ไม่ใช่ผู้ที่ถูกพิพากษา

เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยมนุษย์ผู้นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้ และพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงมีความแน่ใจในเรื่องนี้ โดยทรงให้มนุษย์ผู้นั้นคืนชีวิต"
4. เปาโลอธิบายว่าพระเจ้าแท้ต้องชนะความตาย

เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยมนุษย์ผู้นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้ และพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงมีความแน่ใจในเรื่องนี้ โดยทรงให้มนุษย์ผู้นั้นคืนชีวิต"

32ครั้นคนทั้งหลายได้ยินถึงเรื่องการซึ่งเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว บางคนก็เยาะเย้ย แต่บางคนว่า "ข้าพเจ้าจะคอยฟังท่านกล่าวเรื่องนี้อีกต่อไป"
สุดยอดนักประกาศ คือ เปาโล ( กจ.17.16-34)
สรุปเปาโลให้ความจริงเรื่องพระเจ้าแท้ คนที่เปิดใจ ถ่อมใจก็เข้าใจ กล้าที่จะเชื่อวางใจและรับเอาความรอดชีวิตนิรันดร์
จงเป็นพยานเหมือนเปาโลและให้ความจริงว่าพระเจ้าแท้เป็นอย่างไร ส่วนคนที่จะเชื่อหรือไม่ให้เป็นเรื่องระหว่างเขากับพระเจ้า
คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด 10ด้วยว่า ความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด และขอบพระคุณพระเจ้าที่นี่มีคนฉลาดเลือก กล้าเลือกและได้พบสิ่งประเสริฐคือความรอดและชีวิตนิรันดร์ คือ
แล้วเปาโลจึงออกไปจากเขา 34แต่มีบางคนติดตามเปาโลไปและได้เชื่อถือ ในคนเหล่านั้นมีดิโอนิสิอัสผู้เป็นสมาชิกสภาอาเรโอปากัส กับหญิงคนหนึ่งชื่อดามาริสและคนอื่นๆด้วย พี่น้องที่รักเราแค่เป็นพยาน แต่งานรับเชื่อเป็นของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะสำแดงเชื้อเชิญเขาตัดสินใจรับเชื่อ

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

มหาตมะคานธี เห็นพระเจ้าในพระคัมภีร์ แต่ไม่เห็นในชีวิตคริสเตียน

( บทความ จาก อ. ธวัช)
มหาตมะคานธีผู้ยึดหลักการอหิงสา(กระทำโดยไม่กระทำ)กล่าวว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีชีวิต”
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์กล่าวถึงมหาตะคานธีว่า “คนรุ่นอนาคตจะไม่มีทางเชื่อเลยว่า มีคนแบบนี้อยู่จริงบนโลกมนุษย์นี้”มาร์ติน ลูเธอร์คิงกล่าวยกย่องว่า “พระเยซูเจ้าทรงมอบคำสอนแก่ข้าพเจ้า ส่วนคานธีเป็นผู้มอบวิธีการ”โมฮันดาส คาดามจันด์ คานธีเกิดเมื่อปี ๑๘๖๙ ที่เมืองเล็กๆชื่อขัตติยวาส เขตสุทามาปุรี แคว้นบอมเบย์ เป็นชาวฮินดูในตระกูลแพทย์ มักเป็นที่ดูหมิ่นเหยียดหยามของคนที่วรรณะสูงกว่าอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ให้ทำให้คานธีเกลียดการแบ่งชนชั้นอย่างเข้ากระดูกดำ
คานธีเป็นลูกคนเล็กที่ถูกพ่อแม่ตามอกตามใจ ถึงกระนั้นเขาก็ยังรู้สึกประทับใจในความเชื่อในศาสนาของผู้เป็นแม่ ที่ไม่แตะต้องเนื้อสัตว์ มักภาวนาและถือศีลอดอาหารอยู่บ่อยๆ คานธีแต่งงานเมื่ออายุยังน้อย เพียงแค่ ๑๓ ปีเท่านั้นกับหญิงสาวชื่อคาสตวา
พออายุได้ ๑๗ ปีเขาก็ทิ้งครอบครัวไปเรียนกฎหมายต่อที่ประเทศอังกฤษ เมื่อเรียนจบก็กลับมาประกอบอาชีพทนายที่บ้านเกิด แต่ไม่นานก็ย้ายไปทำมาหากินอยู่ที่อาฟริกาใต้ ที่นั่นคานธีได้พบกับการแบ่งชั้นวรรณะมากกว่าที่อินเดียเสียอีก ครั้งหนึ่งเขาตีตั๋วรถไฟชั้นหนึ่ง แต่กลับถูกเหยียดหยามจากผู้โดยสารผิวขาวและให้พนักงานรถไฟไล่ให้เขาไปอยู่ชั้นสาม แต่คานธีไม่ยอม พอถึงสถานีแรกรถไฟก็จอด พวกพนักงานเข้ามาจับเขาโยนลงจากรถไฟอย่างไร้ความปรานี ซึ่งเขาถือว่าจุดนี้เป็นประสบการณ์ที่สร้างสรรค์มากที่สุดในชีวิตเลย ต่อมาอังกฤษได้ออกกฎหมายที่กดขี่ข่มเหงคนอินเดียมากขึ้น คานธีได้ชักชวนคนอินเดียลุกขึ้นแข็งข้อต่ออังกฤษด้วยวิธีการ “อหิงสา” คือไม่ให้ความร่วมมือ ผู้ประท้วงถูกตำรวจทุบตีอย่างทารุณ แต่ก็ไม่มีการต่อสู้ขัดขืนแต่อย่างใด จนกระทั่งอังกฤษต้องยกเลิกกฎหมายฉบับนั้นครั้งหนึ่งที่อาฟริกาใต้ คานธีได้เข้าไปร่วมนมัสการพระเจ้าที่โบสถ์คริสเตียนแห่งหนึ่ง แต่ผู้ปกครองคริสตจักรซึ่งยืนที่ประตูและห้ามเขามิให้เข้าไปโดยบอกว่า “ที่นี่ต้อนรับเฉพาะคนผิวขาวเท่านั้น” ท่าทีแบบนี้เป็นเหตุทำให้คานธีมีความรู้สึกว่า คำสอนของพระเยซูคริสต์นั้นดีมากๆ (เขามักจะอ่านพระคัมภีร์เสมอ โดยเฉพาะคำเทศนาบนภูเขาของพระเยซู) แต่บรรดาผู้นับถือพระองค์ยังมีการแบ่งชั้นวรรณะอยู่ สันนิษฐานว่านี่อาจเป็นเหตุทำให้คานธีไม่สนใจที่เป็นคริสเตียนอีกเลยปี ๑๙๑๕ คานธีกลับมาที่อินเดีย เขาได้ปลุกระดมคน ๒ พันคนให้ประท้วงอังกฤษ เพราะคนอินเดีย ๓๐๐ ล้านคน ต้องยอมจำนนต่อคนอังกฤษจำนวน ๑ แสนคนที่ปกครองอยู่ และกอบโกยทรัพยากรกลับประเทศไปจำนวนมหาศาล มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ครั้งนั้นทหารอังกฤษยิงผู้ประท้วงตายไป ๓๗๙ คน (ที่หยุดยิงเพราะกระสุนหมด ไม่งั้นคงตายมากกว่านี้)คานธีหันมาใส่เสื้อผ้าธรรมดาแบบดั้งเดิมของคนอินเดีย พร้อมกับพูดว่า “เสื้อผ้าของคนต่างชาติที่ชาวอินเดียสวมใส่อยู่นั้น แสดงถึงความเป็นทาสต่อวัฒนธรรมของชาวตะวันตก และเราจะสามารถปลดปล่อยความเป็นทาสไปได้” ทำให้คนอินเดียเผาเสื้อผ้าเหล่านั้นทิ้งและหันมาใส่เสื้อผ้าพื้นเมือง ต่อมาเกิดปัญหาเรื่องเกลือ ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามาก แต่อังกฤษกลับออกกฎหมายห้ามคนอินเดียทำเกลือ คานธีทำการต่อสู้(ด้วยหลักการอหิงสา)เรื่องนี้จริงจัง จนกระทั่งถึงปี ๑๙๔๒ คานธีซึ่งอยู่ในวัย ๗๓ ปี ก็ตั้งต้นประกาศอิสรภาพแก่ประเทศอินเดีย แต่ก็ได้มาจริงๆในอีกห้าปีต่อมา ลุล่วงมาจนถึงวัย ๗๘ ปีคานธีได้เข้าไปสวดมนต์ในสวนเวอริฮาทร์ ชายคนหนึ่งได้ชักปืนออกมายิงใส่เขา ๓ นัดซ้อน ขณะที่คานธียังสวดมนต์พึมพัมและจบชีวิตอย่างสงบโดยไม่แสดงความประหลาดใจหรือมีอาการเจ็บปวดใดๆคานธีได้กล่าวถึง “บาป ๗ ประการ”[1] เล่นการเมืองโดยไม่มีหลักการหาความสุขสำราญโดยไม่ยั้งคิดร่ำรวยเป็นอักนิษฐโดยไม่ต้องการทำงาน มีความรู้มหาศาล แต่ความประพฤติไม่ดี ค้าขายโดยไม่มีหลักศีลธรรมวิทยาศาสตร์ล้ำเลิศ แต่ไม่มีคุณธรรมแห่งมนุษย์บูชาสูงสุด แต่ไม่มีความเสียสละ เวอร์นอน ซี กราวน์ส[2] ได้เขียนถึงมหาตมะคานธีว่า “เมื่อ อี สแตนลีย์ โจนส์ ไปเป็นมิชชันนารีที่ประเทศอินเดีย เขาได้มีโอกาสพบกับมหาตมะคานธี ผู้นำที่ชายอินเดียยกย่อง เขาได้ตั้งคำถามเพื่อค้นหาความจริงว่า “คริสเตียนจะสามารถมีอิทธิพลต่อประเทศของคุณได้อย่างไร?” คานธีได้ให้คำตอบที่น่าคิดเอาไว้ว่า “คริสเตียนต้องมีสามสิ่งต่อไปนี้ ประการแรก คริสเตียนจะต้องเริ่มต้นมีชีวิตเหมือนพระเยซูมากขึ้น ประการที่สอง คริสเตียนจะต้องนำเสนอความเชื่อโดยไม่มีการประนี ประนอม และประการสุดท้าย คริสเตียนควรจะเน้นในเรื่องความรักซึ่งเป็นหัวใจของพระกิตติคุณ” พวกเราเมื่อได้ยินแล้ว น่าจะเก็บเอามาพิจารณาดูนะครับ! หากเราคริสเตียนจะดำเนินชีวิตประจำวันเหมือนกับพระเยซู มีความเชื่อศรัทธาอย่างแรงกล้า และมีความรัก(เสียสละ)อย่างไม่จำกัด เชื่อว่าคนทั้งโลกจะหันมาไว้วางใจในพระคริสต์ รับสันติสุขและมีชีวิตนิรันดรอย่างแน่นอน. พี่น้องที่รักเรากำลังปิดบังทางไปสวรรค์ของคนอื่นหรือเปล่า จงสำรวจและสารภาพและดำเนินชีวิตใหม่เด้อ และเราก็หย่าเหมือนคานธีรู้จักเจ้าของสวรรค์แต่ไม่ยอมเข้าไป และเอาแต่คำสอนแต่ไม่เอาตัวผู้สอน เกลียดตัวกินไขเกลียดปลาไหลกินนำแกง และวันหนึ่งพระเยซูก็จะตอบอย่างจุใจเลยว่า เราไม่รู้จักเจ้าเลยแม้คุณจะรู้จักเรา
( มัทธิว 7.21-23)
มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ 22เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์กล่าวพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์ มิใช่หรือ' 23เมื่อนั้นเราจะได้กล่าวแก่เขาว่า 'เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา' 24 "เหตุฉะนั้นผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา 25ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา 26แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตามเล่า เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย 27ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่ง

[1] แปลโดยกรุณา กุศลาสัย มติชนรายสัปดาห์ ฉบับ ๔-๑๐ กันยายน ๒๕๕๒ หน้า ๕๙[2] หนังสือ Our Daily Bread ๑๐ สิงหาคม ๒๐๐๙

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ปากโนแต่จิตสำนึกเยส

( บทความจาก อ.ธวัธ)
หลายคนสงสัยถามว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ “อัจฉริยะของโลก”
มีความคิดอย่างไรในเรื่องของพระเจ้า เขาเป็นคริสเตียนหรือไม่
หรือพูดเกี่ยวกับพระองค์ไว้แบบไหนบ้าง? ในหนังสือ Our Daily Bread
ฉบับเดือนกันยายนที่ผ่านมา เอช. เดนนิส ฟิชเชอร์ได้บอกเรื่องราวเหล่านี้
บางส่วนแก่เราแต่ก่อนนั้นให้เรามาทำความรู้จักกับคนที่ฉลาดสุดๆในโลกคนนี้สักเล็กน้อยอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เกิดเมื่อปี ๑๘๗๙ ณ เมืองอูล์ม ประเทศเยอรมันนี
ในครอบครัวของคนเยอรมันที่มีเชื้อสายยิว ตอนเป็นเด็กเขาทำคะแนนในวิชาอื่นได้แย่มาก
(ยกเว้นดนตรี) แต่ในวิชาคณิตศาสตร์กลับทำคะแนนได้ยอดเยี่ยม
เป็นคนที่เงียบขรึมและไม่ชอบออกไปเล่นกันเด็กอื่นๆ จนพ่อคิดว่าเขาเป็นเด็กโง่
จึงจ้างครูมาสอนพิเศษที่บ้าน
ไอน์สไตน์เป็นคนที่สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ แค่มีห้อง โต๊ะเขียนหนังสือก็เพียงพอแล้ว เขาสามารถนั่งฝันนั่งคิดไปได้เรื่อยๆ เขาเคยกล่าวว่า ทุกอย่างในชีวิตของเขาสามารถปลดปล่อยออกมาในหน้ากระดาษได้ ดังนั้นตลอดชีวิตของเขาจึงมีบทความมากกว่า ๔๐๐ เรื่อง และยังเป็นผู้คิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพและทฤษฎีการแผ่รังสี ซึ่งสิ่งที่เขาคิดค้นดังกล่าวนี้เอง ทำให้ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลในเวลาต่อมา[1] จุดเริ่มของการเป็นนักวิทยาศาสตร์ของไอน์สไตน์มาจาก “เข็มทิศ” ที่ได้รับขณะเมื่อเขานอนแซ่วอยู่บนเตียงคนป่วยตอนอายุได้ ๕ ขวบ เขาครุ่นคิดอยู่ทั้งวันว่า ทำไมเข็มทิศจึงชี้ไปทางเหนือตลอดเวลา อัลเบิร์ตชอบทั้งคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ขณะเดียวกันก็ชอบดนตรีด้วย ไวโอลีนเป็นสิ่งที่เขาโปรดปรานมาก เขาเล่นด้วยความรู้สึกส่วนตัว เล่นเพื่อความสุขของตนเอง ส่วนผู้ฟังเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น ปี ๑๙๐๓ ไอน์สไตน์ได้พบรักและแต่งงานกับมิเลวา มารี เพื่อนเก่าครั้งสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยซูริคด้วยกัน ต่อมาเขาได้ค้นพบทฤษฎีใหม่ ที่ค้านกับทฤษฎีเดิมๆของจอห์น ดาลตัน “สสารย่อมไม่สูญไปจากโลก เพราะอะตอมเป็นส่วนที่เล็กที่สุดของสสาร ซึ่งไม่สามารถแยกออกไปได้อีก” แต่ไอน์สไตน์พบว่า “สสารย่อมมีการสูญสลาย นอกจากพลังงานเท่านั้นที่ไม่สูญสลาย เพราะพลังงานเกิดขึ้นจากสสารที่หายไป และอะตอมไม่ใช่ส่วนเล็กที่สุดของสสาร เพราะฉะนั้น จึงสามารถแยกออกไปได้อีก” ในปี ๑๙๔๒ ไอน์ไสตน์ได้คิดค้นระเบิดปรมาณู โดยใช้งบประมาณ ๒ พันล้านเหรียญสหรัฐ และสามารถสร้างนิวเคลียร์ขึ้นมาได้ ๓ ลูก เป็นช่วงเวลาที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ และในกลางปี ๑๙๔๕ เยอรมันนีกับอิตาบียอมแพ้สงคราม เหลือแต่ญี่ปุ่นเท่านั้นที่สู้ต่อและคิดจะครองโลกแต่เพียงผู้เดียว ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตัดสินใจทิ้งบอมพ์ที่เมืองฮิโรชิมา เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม เกิดระเบิดเป็นรูปดอกเห็ดสูงถึง ๘ ไมล์ มีคนบาดเจ็บและตายกว่า ๑ แสน ๕ หมื่นคน แต่ญี่ปุ่นยังไม่ยอมแพ้ จึงถูกบอมพ์อีกลูกในสามวันต่อมาที่เมืองนางาซากิ และมีคนตายราว ๑ แสนคน นิวเคลียร์สองลูกนี้ทำให้ญี่ปุ่นยกธงขาวทันที ไอน์สไตน์รู้สึกเสียใจมากในเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น เขามีความคิดว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ควรจะนำมาใช้ประโยชน์ทางสันติมากกว่าที่จะมาใช้เป็นเครื่องมือประหัตประหารทำสงครามกัน จึงได้มีการลงนามการใช้ปรมาณูเพื่อสันติ ไอน์สไตน์กล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าอาวุธชนิดใดที่จะใช้ในสงครามโลกครั้งที่สาม แต่ในสงครามโลกครั้งที่สี่นั้น มนุษย์จะสู้รบกันด้วยท่อนไม้และก้อนหิน” ไอน์สไตน์กล่าวถึงการดำเนินชีวิตของตนเองว่า “คนเราจะต้องการอะไรอีก นอกจากอาหารอร่อย มีไวโอลีนให้เล่น มีที่นอน มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งเขียนหนังสือ” ในที่สุดเขาเสียชีวิตลงอย่างสงบด้วยโรคหัวใจวาย ในปี ๑๙๕๕ ในขณะที่ใกล้จากจะโลกนี้ไป สมองของเขายังพยายามคิดค้นสิ่งใหม่ๆอยู่ เดนนิส ฟิชเชอร์กล่าวถึงเคยมีคนถามนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ว่า “ท่านเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?” ไอน์สไตน์ตอบว่า “คนเราก็เป็นเหมือนเด็กเล็กๆที่เดินเข้าไปในห้องสมุดที่มีหนังสือภาษาต่างๆมากมาย เด็กเหล่านี้รู้ว่า หนังสือเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่จะต้องมีคนเขียนขึ้นมา ผมคิดว่าแม้แต่มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดก็มีทัศนะคติต่อพระเจ้าแบบนี้ เราได้เห็นว่าทุกสิ่งในจักรวาลถูกวางแบบแผนไว้อย่างน่าอัศจรรย์ และดำเนินไปตามกฎเกณฑ์บางอย่าง แต่เราก็เข้าใจกฎเหล่านี้อย่างเลือนราง” เขาตอบได้อย่างชาญฉลาด! ฟิชเชอร์กล่าวต่อไปว่า “ถึงแม้ไอน์สไตน์จะรู้สึกอัศจรรย์ใจกับการสร้างสรรค์ที่เขาเห็นในธรรมชาติ แต่เขาก็มิได้เชื่อในพระผู้สร้าง”ดังนั้น ใครที่หวังว่าจะได้พบกับอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ในอนาคต ก็คงจะต้องผิดหวังเสียแล้วล่ะครับ!. ปากไม่กล้าบอกแต่จิตสำนึกยอมรับ มีใครบ้างที่โกหกจิตสำนึกได้

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เรื่องดื่มน้ำที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ

เคล็ดเรื่องการดื่มน้ำตอนเช้าท่ท้องยังว่าง

เคล็ดลับของการดื่มน้ำการดื่มน้ำเมื่อท้องว่าง ได้ประโยชน์อย่างที่คุณคิดไม่ถึงนะจะบอกให้ การดื่มน้ำเ มื่อท้องว่างผ่านกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาสุขภาพที่ดี ในประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้ เป็นที่นิยมดื่มน้ำทันที หลังจากตื่นนอนตอนเช้า ( ก่อนแปรงฟัน ) เพื่อการรักษาสุขภาพที่ดี มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ พบว่าน้ำสามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ได้ผล 100% ( แบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ระยะเวลา ) ปวดหัว ปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็ว โรคลมบ้า หมู โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ โรคไตและยูริก โรคแสลง คลื่นไส้ต่างๆ โรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน โรคอาการท้องผูก โรคตา โรคภายในสตรี มะเร็ง รอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู จมูก วิธีการปฏิบัติ1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว (640 ซีซี) 2. หลังจากนั้นสามารถและล้างหน้าอาบน้ำได้ แต่ต้องไม่ดื่ม หรือรับประทานอะไร จนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ 3. หลังรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาที ไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานอะไร จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป 4. ผู้ป่วย หรือคนชรา ที่ไม่สามารถดื่มน้ำ 4 แก้ว ก็ให้ค่อยๆ ดื่ม ค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ จนได้ครบ 4 แก้วข้อปฏิบัติ 4 ข้อดังกล่าว จะทำให้ท่านบำบัดรักษาโรคที่เป็นอยู่ค่อยๆเบาและหายขาดได้ในที่สุด ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้น แลหลังดื่มน้ำไปแล้วประมาณ 1-2 ชั่วโมง จะปวดปัสสาวะจากสถิติข้อมูลโรคที่บำบัดรักษา ทำให้หายได้ภายในเวลา ดังนี้
1. โรคความดันโลหิตสูง 30 วัน
2. โรคกระเพาะ 10 วัน
3. โรคเบาหวาน 30 วัน
4. โรคท้องผูก 10 วัน
5. โรคมะเร็ง 180 วัน
6. โรควัณโรค 90 วัน
7. โรคไขข้ออักเสบจะเห็นผลภายใน 3 วัน ลองทำดูนะครับเพราะร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้าเราจึงต้องดูแลรักษาให้แข็งแรงและรับใช้พระเจ้าไปนานๆ

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

รายงานทับเวย์ ฉบับ8-9

จดหมายข่าวมิชชั่นTABWE
( จดหมายฉบับที่ 8-9ประจำเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม 2009)
TABWE มียอดเงินสนับสนุนคริสตจักรส่งมิชชันนารีไปยังประเทศเพื่อบ้าน ในเดือนมีนาคม2009
เป็นเงินทั้งสิ้นที่มีอยู่ทั้งสิ้น (116369.93 รวมถวายเพิ่มจาก ค.จ สันติสุข 1000 และจาก ค.จ ปางศิลาทอง 5700)มีการถวายเพิ่มในค่ายพัทยา 13905.00 ( ยอดปัจจุบัน136974.93 )หนึ่งแสนสามหมื่นหกพันเก้าร้อยเจ็ดสิบสี่บาทเก้าสิบสามสตางค์ ( สรุปยอดใหม่ )
ยอดเดิม 136974.93 วันที่ 19-6-09
รับ ดอกเบี้ยธนาคาร 73.19
รับการถวายจากแบ๊บติสต์ร่มพระคุณ 1350 2-7-09
รับการถวายจากแบ๊บติสต์บางมด 5000 27-7-09
หักค่าใช้จ่าย ตรายางและหมึก 350
หักค่าใช้จ่ายไปสำรวจเขมร 21665
รวมยอด 121383.12

รายงานงานมิชชั่นของคริสตจักรต่างๆ มกราคม-มีนาคม 2009 คริสตจักรปางศิลาทองได้จัดประชุมมิชชั่นวัน อาทิตย์ที่ 4 ,11,18,25,ในเดือนมกราคม และขอบคุณพระเจ้าสำหรับการจัดงานมิชชั่นที่ปางศิลาทองเสร็จสิ้นด้วยดี และ.ค.จ ห้วยปูแกงวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ 2009 และได้รับรายงานว่าเป็นพระพรมากที่หลายคนได้เข้าใจงานมิชชั่นเพราะบางคนพึ่งจะรู้ว่ามิชชันนารี่คือใครและเขาก็สามารถเป็นได้เช่นกัน สรรเสริญพระเจ้า ส่วน ค.จ สกลนครได้จัดร่วมกันกับศูนย์ประกาศบ้านยางโล้นและได้ท้าทายให้ถวายทรัพย์และถวายตัวเพื่อมิชชั่นและอนุชนและสมาชิกได้ตอบสนองและมีส่วนร่วมเป็นอย่างดี และขอบคุณสำหรับค.จ หนองคายจะจัดประชุมมิชชั่นวันอาทิตย์ที่ 22 ก.พ. 2009 ก็ได้รับการหนุนใจทุกๆคนมาก แต่ส่วน ค.จ สันติสุขร่วมกับ ค.จ สว่างแดนดิน จะจัดประชุมมิชชั่นวันที่28-29มีนาคม เสร็จเรียบร้อยดีมากอธิษฐานเผื่อคริสตจักรต่างๆที่กำลังจะจัดงานมิชชั่นในแต่ละแห่งด้วย และงานมิชชั่นของโรงเรียนพระคริสตธรรมและประชุมรวมคริสตจักรในวันที่ 22 มีนาคมซึ่งพี่น้องแต่ละแห่งมีโอกาสมาร่วมรับพระพรด้วยกัน และงานได้เสร็จเรียบร้อยไปได้ด้วยดีและเต็มด้วยคำหนุนใจท้าทายดีมาก เช่นเดียวกัน และทางคริสตจักรแบ๊บติสต์ร่มพระคุณ ได้จัดให้เดือนพฤษภาคมทั้งเดือนเป็นเดือนแห่งมิชชั่นและในวันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมาได้จัดงานวันมิชชั่นของคริสตจักรได้สำเร็จลุล่วงเป็นอย่างดี
และยังมีคริสตจักรอื่นๆที่กำลังเตรียมงานมิชชั่นของคริสตจักรขอช่วยอธิฐานเผื่อด้วย และเมื่อวันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมาได้มีโอกาสประชุมผู้รับใช้และงานของทับเวย์เกี่ยวกับเสนอข้อมูลต่างๆที่จะททำการสำรวจงานมิชชั่นกับประเทศเพื่อนบ้านทางภาคต่างๆ และได้มีแนวทางในการดำเนินงานตามสถานการ์และตามการทรงนำของพระเจ้าในการออกสำรวจและเก็บข้อมูลข้อเสนอแนะควรทำมิชชั่นทั้งสองแนวทางคือการข้ามประเทศ ข้ามวัฒนะธรรมและตั้งในฝั่งไทยแต่ประกาศกับประเทศเพื่อนบ้านโดยกานฝึกอาชีพ หรือ การสอนภาษาไทย และนำเขาเข้ามาถึงความรอดและสอนเขาสร้างเขาและส่งเขาไปประกาศกับคนของเขาเองโดยตรง จะเกิดผลและมีประสิทธิภาพ มากด้วย

แนวทางของ TABWE ในการสนับสนุนคริสตจักรเกี่ยวกับเรื่องมิชชั่น คือ
/ TABWE จะเป็นผู้ช่วยสนับสนุนและประสานงานและจัดข้อมูลต่างๆที่เป็นแนวทางในการ
ดำเนินงานมิชชั่น และส่งมิชชันนารี
/ TABWE จะช่วยให้ข้อแนะนำแนวทางต่างๆเกี่ยวกับการจัดประจำวางแผนงานมิชชั่นในเดือน
แห่งพันธกิจมิชชั่น ตลอดจนการให้คำปรึกษาต่างๆ
/ TABWE ได้จัดแบ่งการประสานงานตามกลุ่มภาคต่างๆมีดังนี้
1. อ. ไพรัตน์ ประสิทธิ์นอก ประสานงานคริสตจักรกรุงเทพและปริมณทล
2. อ. สุนทร คำมา ประสานงานทางคริสตจักรภาคเหนือ
3. อ. พรศักดิ์ สุขะจินตนากาญจน์ ประสานงานทางภาคอีสาน
4. อ. สมชิต แจ้งไพร ประสานงาน ภาคตะวันออก ตะวันตก และภาคใต้


4. คำหนุนใจ ( โรม 10:14-17)
แต่ผู้ที่ยังไม่เชื่อในพระองค์ จะทูลขอต่อพระองค์อย่างไรได้ และผู้ที่ยังไม่ได้ยินถึงพระองค์ จะเชื่อในพระองค์อย่างไรได้ และเมื่อไม่มีผู้ใดประกาศให้เขาฟัง เขาจะได้ยินถึงพระองค์อย่างไรได้ 15และถ้าไม่มีใครใช้เขาไป เขาจะไปประกาศอย่างไรได้ ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมา ช่างงามจริงๆ หนอ 16แต่มิใช่ทุกคนได้เชื่อฟังข่าวประเสริฐนั้น เพราะอิสยาห์ได้กล่าวไว้ว่า พระองค์เจ้าข้า ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย 17ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์
ข้อพระคัมภีร์นี้ยังเป็นความจริงที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจของคริสเตียนเสมอ ในโอการนี้จึงขอหนุนใจพี่น้องด้วยพระพรที่เราได้มีโอกาสไปเยี่ยมที่ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 27-28 กรกฎาคม 2009 เราได้เดินทางไปด้วยกันห้าคน คือ อ. พรศักดิ์ อ. สุนทร คุณ สุนัต อ. ไพรัตน์ อ. สมชิต เมื่อเดินทางได้สัมผัสกับการทรงนำของพระเจ้าเริ่มตั้งแต่การข้ามแดนฝั่งไทยไปกัมพูชาเราต้องเสียค่ายผ่านแดนคนละหนึ่งพันบาท และได้พบกับพี่น้องคริสเตียนทั้งชาวไทยและกัมพูชาที่ไปต้อนรับเรา และได้เห็นข้อพระคัมภีร์ในพระธรรมโรมนั้นเป็นความจริง คือ ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์ เราได้เห็นการทำงานของพระเจ้าท่ามกลางพี่น้องกัมพูชาที่ขอบคุณสำหรับพระเจ้าส่งมิชชันนารีไปบอกข่าวประเสริฐและเมื่อเขาได้ยินความเชื่อได้เกิดขึ้นและรับความรอดในพระเยซูคริสต์ ดังนั้นไม่ว่าเราอยู่ที่ไหนจงประกาศเพื่อให้คนอื่นๆได้ยินและเกิดความเชื่อได้ โปรดอธิษฐานเผื่อทับเวย์ขอพระเจ้าทรงโปรดอวยพระพร

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Esther

เทศนา

- เทศกาล ปูริม ในสมัยเอสเธอ์

- คำนำ ..... ในอิสราเอลมีเทศกาลที่น่าสนใจมากมาย เช่น เทศกาลปัสกาเพื่อแสดงการขอบคุณการไถ่จากอียิปต์

และเทศกาลฉลองผลแรกของการเก็บเกี่ยว หรือ เพนเทคอส และเทศกาลปูริมสมัยนางเอสเธอร์

เพื่อช่วยเหลือชาวยิวไม่ให้ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ทอดเปอร์ หรือ ฉลาก 3.5-11 9.14-15 9.16-19 9.24-28-32

-เรื่อง ..... วันแห่งความรอด The day of salvation of Jews

*** พระเจ้าทรงช่วยอิสราเอลให้รอดอย่างไร

1. ทรงใช้ชีวิตของพระนางเอสเธอร์

ก. เป็นชีวิตที่ได้รับการเลี้ยงดูในทางของพระเจ้า 2.5-9

- โดยโมรเดคัย เป็นลุงของเธอร์

ข. เป็นชีวิตที่เชื่อฟัง 2.10.,20

- โดยการปกปิดฐานะของตนเอง แต่สำแดงโดยชีวิตที่เชื่อในพระเจ้า

- โดยการเชื่อฟังลุงอย่างดี 2.20 การเชื่อฟังพี่เลี้ยงหรือขันที 2.9,15

ค. เป็นชีวิตที่มีความเชื่อ และกล้าหาญ

- กล้าหาญ,กล้าเสี่ยง,การเสียสละ,ยอมเจ็บ,ยอมตาย,ยอมเอาตัวเข้าแลก 4.15-17

- เธอวางใจ พึ่งพระเจ้าในการอธิษฐาน และมั่นใจในการช่วยกู้ของพระเจ้า

*** สรุป เอสเธอร์มีชีวิตที่งดงามทั้งร่างกายและจิตใจมารยาท เช่น นางมารีย์

*** พระเจ้าปรารถนาให้ชีวิตของเรางดงามเหมือนพระเยซู เหมือนเอสเธอร์ เหมือนดาวิด โยเซฟ อื่นๆ

- โดยการเรียนรู้ ยอมดำเนินในทางของพระเจ้า ศึกษา และเชื่อวางใจ ให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่ง

- โดยการมีชีวิตที่เชื่อฟังพระเจ้า,เชื่อฟังพ่อแม่ผู้อบรมเลี้ยงดู,ครูหรือพี่เลี้ยง,ผู้รับใช้ อื่นๆ

แม้ว่าบางครั้งมันยากที่จะทำแต่ปลอดภัยและเป็นผลดีแก่เรา แต่สำแดงความรักของพระเจ้าอย่าปิด

2. ทรงใช้ตำแหน่งของพระนางเอสเธอร์

ก. เป็นตำแหน่งพระราชินี 4.14

- โดยเป็นตำแหน่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมเพื่อแผนการในอนาคต

- โดยเอสเธอร์อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและถูกเวลาถูกสถานการณ์

เช่น ดาเนียล,เนหะมีย์,โยเซฟ, เขาใช้ตำแหน่ง การงานเพื่อรับใช้พระเจ้าและถวายเกียรติ

ข. เป็นตำแหน่งยายกรัฐมนตรี 10.1-3

- โดยการแต่งตั้งจากกษัตริย์ดดยพระเจ้าอยู่เบื้องหลังเช่น โยเซฟ ,ดาเนียล

( ดนล.46-49 3.29-30 5.29 6.1-4 6.28 )

ค. เป็นตำแหน่งลูกของพระเจ้า 4.16

- โดยการพึ่งพระเจ้า เพราะเป็นลูกของพระเจ้า ลูกหลานอิสราเอล

- โดยประกาศตนเองว่าเชื่อพระเจ้า ประกาศพระนามพระเจ้าแก่ประชาชาติ

เช่น ดาเนียล,โยเซฟ,และเอสเธอร์ และชาวโลกจึงยำเกรงพระเจ้า

*** เราใช้ตำแหน่งลูกของพระเจ้า ลูกของกษัตริย์ เป็นเจ้าชายเจ้าหญิงอย่างไร ยน.1.12

*** เราใช้ตำแหน่งและการงานของเราในการถวายเกียรติพระเจ้าอย่างไร

*** พระเจ้าต้องการใช้งานของเรา ชีวิตของเราเพื่อถวายเกียรติพระองค์

*** พระเจ้าจะทรงอวยพระพรงานและทรงเลื่อนตำแหน่งเมื่อเห็นว่าเราเหมาะสม ( เช่น เบธเอล)

*** พระเจ้าไม่ต้องการให้เราลืมตำแหน่งลูกของพระเจ้า อย่าอาย อย่าใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม

สรุป..... พระเจ้าต้องการใช้ชีวิตของเราเหมือนเอสเธอร์ คือ เชื่อฟัง,ฝ่ายวิญญาณ,มีความเชื่อกล้าหาญ,มารยาท

พระเจ้าต้องการใช้ตำแหน่งและงานของเรา คือ เป็นหัวหน้า,เป็นลูกของพระเจ้า,เป็นศ.บ อื่นๆ

พระเจ้าทรงใช้เราในตำแหน่งภรรยาที่ดี,สามีที่ดี,ลูกที่ดี,สมาชิกที่ดี,อื่นๆ

*** พระเจ้าทรงช่วยเราให้รอดโดย

ก. ชีวิตของพระเยซู.... ไม่มีบาป,มีความเชื่อ,ถ่อมใจ,เชื่อฟัง,เสียสละ,

ข. ตำแหน่งของพระเยซู .....เป็นลูกแกะ,เป็นพระคริสต์,เป็นผู้ไถ่,เป็นกษัตริย์,เป็นพระเจ้า,

- พระเจ้าทรงต้องการใช้ชีวิตของเราเพื่อความรอดของคนอื่นด้วย...ครอบครัว,เพื่อน,สามี,ภรรยา

- พระเจ้าทรงใช้ตำแหน่งเราในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า,เป็นปุโรหิต,ผู้ประกาศ,ผู้รับใช้,อื่นๆ

*** เทศกาลอีสเตอร์เพื่อเฉลิมฉลองการฟื้นขึ้นและความรอดของมวลมนุษยชาติทุกคน 2คร.6.1-2

God will help you to be successful

เทศนา

- จุดประสงค์.....เพื่อให้คริสเตียนมีเป้าหมายในชีวิตเพื่อพระเจ้า

- คำนำ.... สดด. 20.4 21.2
4ขอทรงประสิทธิ์ประสาทตามใจปรารถนาของท่านด้วย
และให้โครงการที่ท่านคิดนั้นสำเร็จทั้งสิ้น พระเจ้าทรงประสิทธิ์ประสาทตามใจปรารถนาของท่าน
และมิได้ทรงยับยั้งสิ่งที่ริมฝีปากท่านทูลขอ

- เรื่อง ..... พระเจ้าทรงช่วยให้ประสพความสำเร็จ สดด. 20.4 21.2

*** ท่านจะประสพความสำเร็จได้อย่างไร

1. โดยความปรารถนาของท่าน Desire or Purpose

- ท่านปรารถนาอะไร และ ตรงกับน้ำพระทัย หรือ พระเจ้าพอพระทัยหรือไม่

เช่น พระเยซูทรงรักษาคนตาบอดทรงถามว่าท่านปรารถนาอะไร

เช่น เปาโล ปรารถนาจะถวายเกียรติเพื่อพระเจ้าตลอดชีวิตและทำงานให้เกิดผล

/// ประยุกต์ใช้ ..... ท่านมีความปรารถนาอะไร,ตั้งใจอะไร,ท่านจงบอกความปรารถนานั้น

2. โดยการวางแผนการ หรือ โครงการ Plan & project

- ท่านมีแผนการและเป้าหมายอะไรในชีวิตของท่าน

เช่น การอ่านพระคัมภีร์ 1 รอบ , การอธิษฐานทุกวัน, เป็นพยานทุกวัน

การตั้งเป้ามาโบสถ์ทุกอาทิตย์,นำคนมาเชื่อใน 1 คน1 ปี

เช่น แผนการร่วมกัน เรื่องธรรมนูญ,ที่ดิน,การสร้างโบสถ์,

เช่น การนำญาติพี่น้องมาเชื่อ อื่นๆ

/// ประยุกต์ใช้.....เราต้องมีเป้าหมายแผนการ อย่าอยู่ไปวันๆ เสียเวลา เสียโอกาส

.... จงมีแผนการให้ตัวเองเจริญเติบโต,เกิดผล,และมีคำพยานที่ดี

เช่น เอสรา ,ดาเนียล,เปาโล,

3. โดยการอธิษฐาน Prayer

- ท่านได้มอบความปรารถนา,อธิษฐานขอพระเจ้าช่วย,เมตตา,

- ท่านได้อธิษฐานมอบเป้าหมาย,และแผนการอะไร หรือ ไม่อธิษฐานเลย

เพราะ ไม่มีความปรารถนา,

เช่น เราทำอะไรไม่สำเร็จเพราะไม่มีความปรารถนา ไม่มีแผนการ ไม่อธิษฐาน

/// ประยุกต์ใช้..... พระเจ้าทรงอยากให้เราอธิษฐานเพื่อเราจะมีความปรารถนา

มีเป้าหมาย มีแผนการ มีโครงการ มีความสำเร็จ

เช่น อยากมีแฟน อยากแต่งงาน อยากเป็นหมอ อยากเรียนจบ อื่นๆ

..... พระเจ้าทรงปรารถนาให้คริสเตียนทุกคนเป็นเกลือและความสว่างของโลก

เพื่อจะมีอืทธิพลที่ดีต่อโลก

..... พระเจ้าต้องการให้เรามีความปรารถนา,เป้าหมาย,แผนการเพื่อพระองค์

จงตั้ง,จงเขียน,จงขอการทรงนำ,จงอธิษฐานแล้วพระเจ้าจะทรงใส่ภาระกับท่าน

สรุป..... ท่านจงเป็นคริสเตียนที่มีความปรารถนา,เป้าหมาย,แผนการ,โครงการ,และอธิษฐาน

..... ท่านสร้างร่วมแผนงานของคริสตจักร......ที่ดิน....ตึก....การประกาศ.....

...... ท่านจงทำให้ความปรารถนาของพระเจ้าสำเร็จ.....เปาโลสั่งทิโมธี.....2ทธ.4.4-5



Job

เทศนา

- พระธรรมโยบ

- จุดประสงค์.....เพื่อให้คริสเตียนรู้จักพระธรรมโยบและพระพรต่างๆ

- คำนำ....... เบื้องหลังพระธรรมโยบ เป็นเรื่องจริง,มีตัวตนจริง( คสค.14.14,20 ยก.5.11)และมีชีวิตอยู่ในช่วงหลังนำท่วมสมัยโนอาห์

*** เหตุผลและหลักฐาน คือ อายุของโยบ 140 ปี 42.16 โยบเป็นปุโรหิตของครอบครัวในสมัยปฐมกาล และไม่ได้กล่าวถึง

กฏหมายของโมเสสเลยและคำพยากรณ์อื่นๆ

*** ผู้เขียนพระธรรมโยบไม้ปรากฏชื่อ แต่ตามประวัติศาสตร์ คือ ตัวโยบเองและโมเสส และได้มีการรวมเป็นบทกวีของ

ชาวยิวและวรรณกรรมของยิวในสมัย ซาโลมอน และเขียนคล้ายบทเรียนของปัญญาจารย์

*** จุดประสงค์ในการเขียน เพื่อให้เห็นมุมมองความทุกข์ของคนชอบธรรมและรักพระเจ้า เพื่อเป็นคำถามและบทเรียนว่าถ้าพระเจ้าแห่ง

ความรักทำไมต้องให้ผู้รับใช้ประสบความทุกข์อย่างสาหัสโดยไม่จำเป็น และเพื่อให้คำตอบของปัญหาว่าพระเจ้าทรงควบคุมและ

ทรงยิ่งใหญ่มีอำนาจสูงสุดและไม่ใช่คนดีจะไม่ประสบความทุกข์ และคำตอบได้ปรากฏในพระเยซูที่เป็นคนดีชอบธรรมแต่ทรง

ตายและรับความทุกข์เพื่อคนไม่ชอบธรรม และช่วยให้คนของพระเจ้ามีมุมมองใหม่ๆในแง่ของพระเจ้า

*** โครงร่างของพระธรรมโยบ

1. การเริ่มต้นของเรื่อง

ก. ครอบครัวของโยบในโลก

ข. เหล่าทูตของพระเจ้าในสวรรค์

ค. การท้าลองของมาร

2. การเริ่มต้นของการทดลอง

ก. โยบสูญเสียทรัพย์สมบัติ ( การทดลองฝ่ายวัตถุ)

ข. โยบเป็นฝีร้าย ( การทดลองฝ่ายร่างกาย)

ค. โยบถูกปรักปรำจากคนรอบข้าง ( การทดลองฝ่ายวิญญาณ)

3. การสิ้นสุดของเรื่อง

ก. พระเจ้าทรงให้คำตอบที่ถูกต้อง

ข. พระเจ้าทรงอวยพรโยบ

ค. พระเจ้าทรงอวยพรลูกหลานของโยบ ( อาจเป็น พ่อของอับราฮัม หรือ ปู่ )

1. เนื้อหาสาระพระธรรมโยบ 1.1-22

*** พระพรจากชีวิตของโยบ ( ทำไมชีวิตโยบเป็นพระพร)

1. โยบเป็นคนชอบธรรม

ก. เป็นคนบาปแต่หันหนีจากความชั่วร้าย 1.1

เช่น โนอาห์,โยเซฟ, ลก.23.50 มธ.1.19 ปฐก.7.1

ข. เป็นพ่อและผู้นำครอบครัวที่ดี 1.4-5

- เป็นแบบอย่างที่ดี,เข้มงวด,รอบคอบ,และกลัวบาปและยำเกรงพระเจ้า,แม้คำพูดและความคิด

ค. เป็นปุโรหิตและผู้รับใช้ที่ดี 1.5

- นมัสการ,ถวายเครื่องบูชา,และเป็นครูสอนจริยธรรม,เป็นผู้พิพากษา,

*** เราผู้เชื่อทุกคนเป็นคนชอบธรรมในพระเยซู โรม 5.1-2 8.30 1.17

- เราเป็นคนชอบธรรมในเรื่องความบริสุทธิ์ในทางกฎหมาการพ้นจากอาญา โทษทัณฑ์

- เราเป็นคนชอบธรรมในเรื่องศิลธรรมการประพฤติตามทางของพระเจ้า

*** พระเจ้าทรงมองคนบาปเป็นคนอยุติธรรม แต่บางคนก็เป็นคนดีแต่ไม่ใช่ผู้ชอบธรรม

- คนชอบธรรมที่ยิ่งใหญ่คือพระเยซู

2. โยบเป็นคนเที่ยงธรรม

ก. แม้มารทดลองทางทรัพย์สมบัติ 1.13-22

- โยบสอบผ่าน,และขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี

*** เราเองแม้มีเงินก็ยังบ่นตำหนิพระเจ้า,ถ้าไม่มีเงินเลยคงทิ้งพระเจ้า,จงสำรวจตัวเรา

*** จง คิดและมีมุมมองเหมือนโยบ,พระเจ้าเป็นเจ้าของมีสิทธิ์ที่จะให้หรือเอาคืน

ข. มารทดลองทางฝ่ายร่างกาย 2. 1-10

- โยบสอบผ่าน,ความเจ็บปวดฝ่ายร่างกาย,โรคร้าย,

*** เราเองแค่เจ็บป่วยนิดหน่อยก็บ่น,และทิ้งพระเจ้า,หรือยอมรับและพึ่งพระเจ้าเหมือนโยบ

*** เราเองต้องทำใจยอมรับความจริงในเรื่องเหล่านี้อาจกำลังเกิดขึ้นกับเราและกับคนที่เรารัก

เช่น อ. สมบัติ,แม่ อ.สุนทร,แม่ของผม,มิสโจว,ตัวของคุณเอง,

เช่น มาดามฟีบี้ขอบคุณที่เพราะหน้าของมาดามได้เป็นพยานกับหมอและนางพยาบาลอื่นๆ

**** จงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและกล้าที่จะขอบคุณพระเจ้า

ค. มารทดลองโยบในฝ่ายจิตใจและจิตวิญญญาณ 2.9-10 11. -37.

-โดยใช้คำพูดคำดูถูกของภรรยา 2.9-10

*** เจ็บปวด,เจ็บใจ,ท้อใจ,ถ้าคนอื่นพูดอาจพออดทนได้แต่คนที่เรารักที่สุดพูด

*** หลายคน ฆ่ากัน,เลิกกัน,เพราะคำพูด

- โดยใช้เพื่อนที่รักของโยบ

*** ยิ่งเจ็บปวด,ยิ่งถูกทับถม,ยิ่งทำให้หมดกำลังใจ,

*** โดยทุกคนก็กล่าวหา,ปรักปรำว่า,โยบทำบาปและปิดซ่อนไม่ยอมสารภาพต่อพระเจ้า

*** โดยให้คำปรึกษาจากประสบการ,ความคิด,และเหตุผลแบบมนุษย์ที่เป็นคนบาป

*** สรุป บทเรียนจากพระธรรมโยบ

1. จงเป็นคนชอบธรรมเหมือนโยบ

2. จงเป็นคนเที่ยงธรรมเหมือนโยบ

3. จงถวายเกียรติแค่พระเจ้าด้วยวัตถุ,ครอบครัว,ร่างกาย,จิตใจและวิญญาณ

4. จงอย่าเป็นเหมือนภรรยาโยบที่ ทีบส่ง,ไล่ส่ง,ซ้ำเติม,แทนที่จะหนุนใจปลอบใจ เข้าใจ

5. จงอย่าเป็นเหมือนสหายของโยบ,ทับถม,โจมตี,คิดในแง่เดียว,และมีความคิดที่แคบในเรื่องพระเจ้า

6. จงมีมุมมองเหมือนโยบในการดำเนินชีวิต

1. ทรัพย์สมบัติเป็นของพระเจ้าและพระเจ้าทรงมีสิทธิ์เต็มที่

2. ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้าและทำให้พระเจ้าได้รับเกียรติ 1คร.6.19-20

3. การทดลองเป็นเหมือนทองคำที่ผ่านไฟ 23.10

7. จงเตรียมตัวเตรียมใจว่าวันหนึ่งเราเองอาจต้องเจอการทดลอง ขอให้ชีวิตของเราพร้อมเสมอ

8. เราอย่าประมาทการทดลอง หรือ คิดว่าตนเองเข้มแข็งแล้ว 1คร.10.1113

*** และจงมองปัญหาการทดลองว่าเป็นเบ้าหลอมและครูที่ดีชั้นเรียนที่ต้องสอบให้ผ่าน 1 ปต.1.6-8 ยก.1.2-4

เทศนา

- จุดประสงค์...... ให้เห็นถึงพระคุณและความรอดของชาวนีนะเวห์

- คำนำ.......ภาพของชาวนีนะเวห์ก็เหมือนกับยิวกับต่างชาติในอดีตแลปัจจุบันที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้ทุกชนชาติได้รับความรอด และความรอดนั้นผ่านทางพระเยซูและชาวยิวก่อนและต้องการ

ผู้ที่ประกาศข่าวเรื่องความรอด การพิพากษาโทษ เช่น โยนาห์ คือ คริสเตียนปัจจุบันนี้

- เรื่อง............ วันแห่งความรอดของชาวนีนะเวห์

/// ชาวนีนะเวห์ได้รับความรอดอย่างไร และทำไมเขาได้รับความรอด

- แท้จริงชาวนีนะเวห์ได้รับความรอดเพราะพระเมตตาคุณของพระเจ้า

- แต่พระเจ้าเพียงแต่ใช้โยนาห์ไปประกาศ และแจ้งแก่เขาเท่านั้น

1. เพราะโยนาห์ไป

- แม้ในตอนแรกโยนาห์ไปแต่ไปจากนีนะเวห์ ไปให้ไกล ไปอีกทางหนึ่ง แต่ภายหลังเขายอมไป

เพราะเป็นผู้เผยพระวจนะและเพราะสำนึกในพระคุณของพระเจ้าและไปด้วยวิธีพิเศษ โดยปลาใหญ่ ที่นำเขาไป

/// ปัญหาพระเจ้าทรงใช้ให้เราไป ให้เราทำอะไร ทำอย่างไร ทรงสั่งอย่างชัดเจน แต่เราเองเป็นปัญหา และไม่ใช่เราไม่รู้ ไม่ใช่เราไม่เข้าใจ แต่เราไม่ไป ไม่อยากไป เราเห็นแก่ตัว

/// วันนี้มีหลายประเทศ ที่พระเจ้าทรงใช้เราไปเหมือนนีนะเวห์ เพื่อนบ้านของเรา ญาติๆของเรา เพื่อนในที่ทำงานของเรา แต่เราไปไม่ถึง ไม่อีกทาง ไปตามทางของเราเอง เราเองก็เห็นแก่ตัว

เราเองก็มักแก้ตัว เรามักไม่สนใจใยดีต่อความตายของเขา เหมือนเรื่อง จดหมายจากนรก

///วันนี้ขอให้เราไปอย่างสง่า ไปด้วยใจ ไปด้วยภาระ ไปด้วยความห่วงใยคนบาป

เช่น อิสยาห์ 6:8 และท่านเปาโลมีใจปรารถนาประกาศตลอดชีวิตและทุกชาติทุกภาษาทุกคน

- เราเป็นคริสเตียนทารกเหมือนโยนาห์ งอแง ขี้ใจน้อย เห็นแก่ตัว ไม่รับผิดชอบ ไม่รู้สึกผิด

2. เพราะโยนาห์ประกาศ

- แม้โยนาห์ไปแต่ตัว แต่ไม่ยอมพูด ไม่ยอมประกาศ ไม่แจ้งข่าว ไม่บอกคำเตือนของพระเจ้า

ชาวนีนะเวห์จะรู้ได้อย่างไร จะรอดได้อย่างไร แต่โยนาห์ยอมประกาศตามคำสั่งของพระเจ้า

และคิดว่าเสร็จแล้ว และเป็นไปไม่ได้ที่จะพูดเพียงไม่กี่คำแล้วทุกคนจะกลับใจ คือ แค่บอกว่า

อีกสี่สิบวันนีนะเวห์จะถูกคว่ำ แต่คำประกาศของโยนาห์ได้ผลเกินคาด คือ คนทั้งเมืองกลับใจ

ตั้งแต่กษัตริย์และคนขอทาน และแม้แต่ฝูงสัตว์ก็ร่วมด้วย เพราะคำสั่งของพระเจ้าครอบคลุม

1. บอกคำเตือน ราชองค์การ

- เหมือน พรก. ฉุกเฉิน ในนามของพระเจ้าที่ทุกคนต้องฟัง ต้องทราบ ต้องสนใจ ตอบสนอง เพราะโยนาห์ ประกาศในนามของพระเจ้า เหมือนพระเจ้าตรัสเอง

/// เช่น เมื่อกษัตริย์รู้ก็ออกกฤษฏีกาให้ทุกคนทำตามคำประกาศของโยนาห์

เช่นสมัยของดาเนียลกษัตริย์เนบูคัดเนซ่าก็ออกกฤษฏีกาด้วยเพื่อให้ทุกคนเคารพพระเจ้าของดาเนียล และเชื่อฟังพระองค์

2. บอกระยะเวลา ที่ชัดเจน เจาะจง อีกสี่สิบวัน

- เพื่อพวกเขาจะได้รีบ จะได้จริงจัง ไม่พลัดวันประกันพรุ่ง บางคนอาจกลับใจวนแรก

บางคนอาจกลับใจวันสุดท้าย บางคนอาจกลับใจนาทีและวินาทีสุดท้าย

สี่สิบวันข่าวประเสริฐไปถึงทุกคนได้อย่างไร ทางประชาชน ทางกษัตริย์

ทางกฤษฏีกา แต่เริ่มต้นจากพระเจ้าทรงใช้โยนาห์ไปประกาศตามคำบอก

/// เราเองก็ทำได้เช่นกัน คือ ประกาศพระเจ้า คำสั่ง ข่าวประเสริฐ ว่า

พระเยซูทรงเป็นพระเจ้ามารับสภาพเป็นมนุษย์และยอมตายไถ่บาปที่กางเขนใครเชื่อก็ได้รับความรอดชีวิตนิรันดร์ ไม่ต้องถูกพิพากษาในบึงไฟนรก เหมือนเปาโลประกาศ ( 1คร 15:1-5 )

/// แต่ปัญหา เราประกาศใคร ประกาศอะไร ประกาศอย่างไร ต้องเน้นพระวจนะ

3. บอกผลลัพธ์ ที่จะได้รับ คือ ความตาย ความพินาศย่อยยับ

- ไม่มีใครอยากตาย ไม่มีใครอยากพินาศ ไม่มีใครอยากรับโทษ ไม่มีใครอยากถูกพิพากษาและตกนรก

/// หลายครั้งพระเยซูทรงบอกแก่ชาวยิวและผู้นำศาสนาถึงผลลัพธ์ที่เขาจะต้องเผชิญ เช่น มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่ยังไม่สำนึก ยังไม่สะทกสะท้าน ไม่เกรงกลัว จนกว่าจะได้อยู่ในบึงไฟที่ทรมานมีเสียงร้องโอดครวญ

/// และเมื่อเราประกาศก็มีบางคนไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่สน ทำตัวเหมือนหมูไม่กลัวน้ำร้อน เช่น เศรษฐีกับลาซาลัส ที่สุดท้ายก็พินาศ และหมดโอกาส เช่น พระเยซูสอนเรื่องคนสร้างบ้านบนทรายและบนหิน สุดท้ายความพินาศ

มาเยือน คนที่ไม่เชื่อเขาจะรับผลเอง เช่น หน้าที่ยาม เอเศเคียล 3 เมื่อเราบอก เราแจ้งเตือนแล้วเขาไม่ฟังเขาเองจะต้องรับผิดชอบ รับผลลัพธ์นั้น แต่ถ้าเราไม่แจ้ง ไม่บอก เราต้องรับผิดชอบรายงานต่อพระเจ้า

/// สรุป..... เราต้องไป เราต้องประกาศ เราต้องรับผิดชอบในหน้าที่ผู้ประกาศ ผู้เป็นพยาน ทูตของพระเจ้า

( 1ปต.2:9-10 2คร 5:20 1คร 9:16 2ทธ 4:4-7)

- มีชาวนีนะเวห์ในโลกนี้อีกมากมายที่กำลังรอ โยนาห์ คือ คริสเตียน คุณและผม ที่ต้องไป ต้องประกาศ

/// ประกาศข่าวประเสริฐ ตามคำสั่ง มหาบัญชา ตามพระวจนะ ( มธ 28:19 มก16:15 กจ1:8)

/// เราเป็นตัวแทนของพระเจ้า เป็นทูตของพระเจ้าเหมือนโยนาห์ แต่อย่าใช้นิสัยเหมือนโยนาห์

- เห็นแก่ตัว หนี ไม่รับผิดชอบ ใจจืดใจดำ สะใจเมื่อเห็นศัตรูพินาศ ขาดความรักเมตตา

- ทำตัวเหมือนเด็ก น้อยใจเก่ง ขี้งอน หัวหมอ ฉลาดแกมโกง

- โยนาห์เขาได้รับบทเรียนที่มีค่าของเขาแล้ว คือ ไม่มีสันติสุข และ เขาควรมีเมตตาจิตเหมือนพระเจ้า

/// วันนี้ชาวนีนะเวห์กำลังรอโยนาห์ แต่โยนาห์กำลังทำอะไร หนี นอนหลับ ทั้งฝ่ายกาย และวิญญาณ

- จงตื่นขึ้นเพราะพระเจ้าทรงใช้ทะเลมาปลุก มาเขย่า มาเตือนเรา มาตีเรา มาตามเรา

- จงตัดสินใจ จงกลับใจ จงสารภาพ จงสำนึกผิด จงยอมจำนนต่อพระเจ้า จงทำตามพระมหาบัญชา

/// วันนี้คุณเป็นพระเอ ก เหมือนโยนาห์ จงไป และจงประกาศแก่ชาวนีนะเวห์ คือ คนบาปที่อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าที่กำลังพิโรธ และคุณกำลังทำให้คนอื่นพินาศหรือได้รับความรอด พระเจ้ากำลังพิโรธคนบาปหรือพิโรธคุณ ( คริสเตียน ) ที่หนี นอนหลับใหล นอนฝันหวาน ลือหน้าที่ความรับผิดชอบ บอกไปแต่ไปอีกทางหนึ่ง

บอกรักพระเจ้าแต่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า บอกรักคนบาปแต่รักแต่ตัวเอง

/// วันนี้ยังไม่สายที่เราจะเป็นโยนาห์คนใหม่ เป็นโยนาห์ผู้ประกาศที่ยิ่งใหญ่ เต็มใจไปนีนะเวห์

( โรม 10:14,17 )

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
พวกเราเป็นกลุ่มคริสตจักรท่มีความเชื่อตามหลักของพระคัมภีร์อย่างเคร่งครัด เราเชื่อว่า เรารอดโดยพระคุณพระเจ้า และเชื่อในตรีเอกานุภาพ และพระคัมภีร์66เล่มเป็นการดลใจจากพระเจ้าและไม่มีความผิดพลาดของต้นฉบับ และพระวจนะของพระเจ้าเป็นแหล่งชีวิตและความจริง เป็นหนังสือท่ช่วยในการดำเนินชีวิตประจำวัน เราเชื่อว่าเมื่อเราเชื่อในพระองค์เราได้รับองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ในทันใดนั้น เพราะทรงประทับตราเรา ( เอเฟซัส 1:13-14)