skip to main |
skip to sidebar
คำถาม: พระเยซูคริสต์เป็นใคร?
คำตอบ: พระเยซูคริสต์เป็นใคร? ไม่เหมืิอนกับคำถามที่ว่า “พระเจ้ามีอยู่จริงไหม?” น้อยคนจะถามว่าพระเยซูคริสต์มีอยู่จริงไหม โดยทั่วไปผู้คนยอมรัับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นมนุษย์และทรงอยู่ในโลกนี้ที่ประเทศอิสราเอลเมื่อเกือบ2000 ปีที่ผ่านมา การถกเกิดขึ้นเมื่อหลักฐานแสดงตัวตนของพระองค์ถูกนำมาอภิปราย เกือบทุกศาสนามีหลักสอนว่าพระเยซูคืิอผู้เผยพระวจนะ หรืออาจารย์ที่ดี หรือคนที่เคร่งศาสนา ปัญหาคือ พระคัีมภีร์บอกเราว่าพระเยซูทรงเป็นมากกว่าผู้เผยพระวจนะ หรืออาจารย์ที่ดี หรือคนที่เคร่งศาสนาคนหนึ่ง
C.S. Lewis ผู้เขียนหนังสือ ชื่่อ คริสเตียนธรรมดา (Mere Christianity) เขียนว่า “ข้่าพเจ้าพยายามที่จะไม่ให้ใคร ๆ พูดอะไรโ่ง่ ๆ ที่คนชอบพูดกันเกี่ยวกับพระองค์ (พระเยซูคริสต์): เช่นว่า ฉัีนพร้อมที่จะยอมรับพระเยซูว่าเป็นผู้สอนทางด้านคุณธรรมที่ดี แต่รับไม่ได้กับการอ้างว่าทรงเป็นพระ
เจ้า” นี่เป็นอะไรที่เราไม่ควรพูด เพราะหากคนธรรมดา ๆ จะพูดอะไร ๆ
มากมายหลายอย่าง อย่างที่พระเยซูคริสต์ตรัีส ไม่น่าจะเป็นอาจารย์ที่ดีได้
แต่น่าจะเป็นคนบ้ามากกว่า -- ระดับเดียวกับคนที่พูดว่าตัวเองเป็นไข่ต้ม -- หรือไม่ก็เป็นมารซาตานมาจากนรก คุณต้องเลือก หากพระองค์ไม่ใช่พระบุตรของพระเจ้า ก็จะต้องเป็นคนบ้าหรืออะไรที่แย่ยิ่งกว่านั้น… คุณสามารถมองว่าพระองค์ทรงเป็นคนโง่คนบ้่าคนหนึ่ง ถ่มน้ำลายรดพระองค์ แล้วปลงพระชนม์พระองค์ในฐานะมารซาตาน หรือซบลงแทบพระบาทของพระองค์แล้วเรียกพระองค์ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่อย่าทำมาเป็นพูดเหลวไหลเลยว่าพระองค์ทรงเป็นอาจารย์ที่ดีคนหนึ่ง พระองค์ไม่ได้ให้ทรงเราเลือกแบบนั้น และไม่ได้ทรงตั้งพระทัยเช่นนั้น”
แล้วพระองค์ทรงอ้างว่าทรงเป็นผู้ใด? พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นใคร? ประการแรกให้เราดูพระวจนะของพระเยซูในหนังสือยอห์น 10:30 “เรากับพระบิดาของเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” เมื่อมองอย่างเผิน ๆ นี่อาจดูเหมือนว่าไม่ใช่การยอมรับว่าทรงเป็นพระเจ้า แต่ ให้เรามาดูกันที่ปฎิกริยาของชาวยิวต่อคำพูดประโยคนี้ “เราจะขว้างท่านมิใช่เพราะการกระทำดี แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาท เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า” (ยอห์น 10:33) คนยิวเข้าใจดีว่าคำกล่้าวของพระเยซูคือการยอมรับว่าทรงเป็นพระเจ้า ในข้อพระคัมภีร์ข้อต่อ ๆ มา พระเยซูไม่ได้ทรงแก้ไขคำพูดของชาวยิวโดยปฏิเสธว่า “เราไม่ได้อ้างตัวว่าเป็นพระเจ้า” นั่นชี้ให้เห็นว่าพระเยซูตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าโดยการประกาศว่า “เรากับพระบิดาของเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” (ยอห์น 10:30) ยอห์น 8:58 เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ก่อนอับราฮัมบังเกิดมานั้นเราเป็น” อีกครั้งหนึ่งที่พวกยิวตอบโต้พระองค์ด้วยการหยิบก้อนหินขึ้นมาจะขว้างพระองค์ (ยอห์น 8:59) การประกาศหลักฐานแสดงตัวตนของพระองค์ว่า “เราเป็น” คือการนำพระนามที่ใช้เรียกพระเจ้าในพันธสัญญาเดิมมาใช้โดยตรง (อพยพ 3:14) ทำไมชาวยิวจึงต้องการเอาหินขว้างพระองค์อีก หากพระองค์ไม่ได้ตรัสอะไรบางอย่างที่พวกเขาคิดว่าเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า ซึ่งก็คือ การอ้างพระองค์ว่าทรงเป็นพระเจ้า?
ยอห์น 1:1 กล่าวว่า “พระวาทะทรงเป็นพระเจ้า” ยอห์น 1:14 กล่าวว่า “พระวาทะได้ทรงสภาพของเนื้อหนัง” นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าในสภาพเนื้อหนัง สาวกโธมัสประกาศต่อหน้าพระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์” และพระองค์ไม่ได้ทรงแก้ไขเขา อัครสาวกยอห์นอธิบายเกี่ยวกับพระองค์ว่า “….พระเจ้าใหญ่ยิ่ง และพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา” (ทิตัส 2:13) อัครสาวกเปโตรพูดอย่างเดียวกัน “…. พระเจ้าและพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเราทั้งหลาย” พระเจ้าพระบิดาก็ทรงเป็นพยานเกี่ยวกับหลักฐานแสดงดัวตนของพระเยซูคริสต์เช่นกัน พระองค์ตรัสว่า “โอ พระเจ้าข้า พระที่นั่งของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์และเป็นนิตย์ ธารพระกรแห่งอาณาจักรของพระองค์ก็เป็นธารพระกรเที่ยงธรรม” (สดุดี 45:6) คำเผยพระวจนะเกี่ยวกับพระเจ้าในพันธสัญญาเดิมกล่าวถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ว่า “ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน และท่านจะเรียกนามของท่านว่า "ผู้ที่มหัศจรรย์ ที่ปรึกษา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช" (อิสยาห์ 9:6)
C.S. Lewis ถกว่า การเลือกเชื่อว่าพระเยซูเป็นอาจารย์ที่ดีไม่ใช่ตัวเลือก เพราะพระองค์ประกาศอย่างชัดเจนโดยเราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าพระองค์
ทรงเป็นพระเจ้า ดังนั้น หากพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า
พระองค์ก็จะต้องเป็นจอมโกหก หากพระองค์ทรงเป็นนักโกหก
พระองค์ก็จะต้องไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะ หรืออาจารย์ที่ดี หรือ คนที่เคร่งศาสนา แน่นอน ในความพยายามที่จะอธิบายเกี่ยวกับพระเยซูของ “นักวิชาการ” สมัยใหม่ พวกเขาบอกว่า “พระเยซูองค์แท้จริงในประวัติศาสตร์” ไม่ได้ตรัสหลาย ๆ อย่างที่พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับพระองค์ เราเป็นใครกันที่จะมาเถียงพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับว่าพระเยซูตรัสและไม่ได้ตรัสอะไร “นักวิชาการ” ที่เกิดห่างจากพระเยซูตั้งสองพันปีจะรู้ดีว่าพระองค์ตรัสหรือไม่ได้ตรัสอะไรกว่าคนที่อยู่กับพระองค์ ปรนิบัติพระองค์ และ ได้รัีบการสอนจากพระองค์ได้อย่างไร? (ยอห์น 14:26)?
ทำไมคำถามเกี่ยวกับหลักฐานที่พิสูจน์ว่าพระเยซูทรงเป็นใครจึงสำคัญ? ทำไม่ถึงการที่พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าหรือไม่จึงเป็นเรื่องสำคัีญ? เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ พระเยซูจะต้องทรงเป็นพระเจ้า หากไม่ใช่ การสิ้นพระชนมฺ์ของพระองค์ก็คงจะไม่เพียงพอที่จะไถ่บาปให้กับคนทั้งโลก (1 ยอห์น 2:2) มีพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงสามารถจ่ายค่าจ้างที่ไม่มีที่สิ้นสุดได้ (โรม 5:8; 2 โครินธ์ 5:21) พระเยซูจะต้องทรงเป็นพระเจ้าเพื่อที่พระองค์จะได้ทรงไถ่บาปให้กับเราได้ พระองค์จะต้องทรงเป็นมนุษย์ เพื่อที่พระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์ได้ เราจะรับความรอดได้ก็โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น! ด้วยความเป็นพระเจ้าของพระองค์คือเหตุผลว่าทำไมพระองค์จึงทรงเป็นทางเดียวที่นำเราไปสู่ความรอด ด้วยความเป็นพระเจ้าของพระองค์คือเหตุผลว่าทำไม่พระองค์จึงทรงประกาศว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา” (ยอห์น 14:6)
/// เมื่อเรารู้ว่าพระเยซูเป็นแล้วคุณจะรู้ว่าท่านสำคัญกับคุณและคนทั้งโลกแน่นอนครับ ขอเพียงอ่านแล้วเปิดใจเราจึงเข้าใจได้ครับ
การไปสวรรค์ - ฉันจะรับประกันได้อย่างไรว่าฉันไปถึงจุดหมายปลายทางนิรันดร?
คำถาม: การไปสวรรค์ - ฉันจะรับประกันได้อย่างไรว่าฉันไปถึงจุดหมายปลายทางนิรันดร?
คำตอบ: ลองเผชิญสิ วันนั้นเราแต่ละคนจะก้าวไปสู่นิรันดร ซึ่งอาจเร็วกว่าที่เราคิดก็ได้
ในการเตรียมตัวสำหรับวินาทีนั้น เราจำเป็นต้องทราบความจริง ไม่ใช่ทุกคนจะได้ไปถึงสวรรค์
เราสามารถทราบแน่ชัดได้อย่างไรว่าเราเป็นหนึ่งในผู้ที่จะไปถึงสวรรค์นิรันดร เมื่อ 2000 ปีที่ผ่านมา อัครทูตเปโตรและยอห์นได้ทำการประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ต่อหน้าฝูงชนขนาดใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม ตอนนั้นเองที่เปโตรได้กล่าวถ้อยคำสั่งสอนอย่างลึกซึ้ง ที่ส่งเสียงสะท้อนก้องอยู่แม้จะพ้นยุคโลกปัจจุบัน: "ในผู้อื่นไม่มีความรอดเลย เพราะไม่ได้ประทานนามอื่นที่จะช่วยให้เราทั้งหลายรอดแก่มนุษย์ทั่วใต้ฟ้า" (กิจการ 4: 12)
แม้ในบรรยากาศทุกวันนี้ที่บอกว่า "ทุกหนทางนำไปสู่สวรรค์" นี้ไม่ได้เป็นวาทกรรมที่ถูกต้องทางการเมือง มีหลายคนที่คิดว่าพวกเขาสามารถไปสวรรค์โดยไม่ต้องมีพระเยซู พวกเขาต้องการคำมั่นสัญญาทั้งหลายที่นำไปสู่สง่าราศี แต่พวกเขาไม่ต้องการจะใส่ใจเรื่องกางเขน และท่านผู้หนึ่งที่ถูกตรึง และสิ้นพระชนม์ที่นั่นเพราะความบาปของทุกคนที่เชื่อในพระองค์ หลายคนไม่ต้องการที่จะยอมรับว่าพระเยซูเป็นทางเดียวและมุ่งมั่นที่จะแสวงหาหนทางอื่น แต่พระเยซูเองทรงเตือนเราว่าไม่มีหนทางอื่นเป็นจริงได้ และผลกระทบที่ตามมาเพราะการไม่ยอมรับความจริงนี้นำไปสู่นรกชั่วนิรันดร พระเยซูได้ทรงสอนเราชัดเจนว่า "ผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ แต่ผู้ใดไม่ยอมรับพระบุตรก็จะไม่ได้เห็นชีวิต เพราะพระพิโรธของพระเจ้ายังอยู่กับเขา" (ยอห์น 3:36)
บางคนจะเถียงว่ามันเป็นความใจแคบของพระเจ้าอย่างยิ่งที่ทรงให้เพียงทางเดียวที่จะไปสวรรค์
แต่ ถ้าพูดตรงๆ มองในแง่ที่มนุษยชาติขบถต่อต้านพระเจ้า ก็ยิ่งนับเป็นพระกรุณาอย่างล้นเหลือของพระองค์ที่ยังทรงประทานหนทาง
ให้เราไปสวรรค์ได้ เราสมควรได้รับการตัดสินลงโทษ แต่แทนที่เป็นดังนั้น
ยังทรงหาหนทางให้เราหลุดพ้น โดยการส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาสิ้นพระชนม์เพื่อชำระบาปของเรา ไม่ว่าจะมีคนเห็นว่านี่เป็นความใจแคบหรือใจกว้าง มันก็เป็นความจริง และคริสเตียนจำเป็นต้องรักษาข่าวประเสริฐที่ชัดเจน ไม่มัวหมองว่ามีทางเดียวที่จะไปสวรรค์โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์
วันนี้มีหลายคนที่เชื่อถือการประกาศที่หลั่งไหลเข้ามาแทนข่าวประเสริฐที่มีการยกโทษบาปคนทั้งหลายที่สำนึกผิด พวกเขาต้องการเชื่อในพระเจ้าผู้เต็มไปด้วยความรัก ไม่เกี่ยวข้องการตัดสินลงโทษ ผู้ไม่ต้องการให้กลับใจใหม่และไม่ต้องให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต
พวกเขาอาจจะพูดว่า "ฉันเชื่อในพระเยซูคริสต์ แต่พระเจ้าของฉันไม่ตัดสินลงโทษ พระเจ้าของฉันจะไม่ส่งคนไปตกนรก" แต่เราไม่สามารถมีสองทางได้ ถ้าเรายอมรับที่จะเป็นคริสเตียน เราต้องยอมรับพระคริสต์ตามที่ทรงตรัสว่าพระองค์ทรงเป็น - ผู้เดียวและทางเดียวที่นำไปถึงสวรรค์
การไม่ยอมรับ เท่ากับปฏิเสธพระเยซูเอง เพราะพระองค์เองทรงประกาศว่า
"เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา" (ยอห์น 14:6)
ยังคงมีคำถามอีก: แท้จริงแล้วใครล่ะจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าได้ ฉันสามารถรับประกันจุดหมายปลายทางนิรันดรของฉันได้อย่างไร คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ เราเห็นได้จากผู้ที่มีชีวิตนิรันดร์จะแตกต่างเด่นชัดกับผู้ที่ไม่มี "ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรของพระองค์ก็ไม่มีชีวิต" (1 ยอห์น 5:12) บรรดาคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ผู้ที่ได้ยอมรับว่าพระองค์ทรงเสียสละ
พระชนม์เพื่อชำระความบาป และ ผู้ที่ติดตามพระองค์อย่างเชื่อฟังจะมีชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์ แต่บรรดาผู้ที่ปฏิเสธพระองค์จะไม่มี "ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า" (ยอห์น 3:18)
สวรรค์จะเป็นที่น่าเกรงขามสำหรับผู้ที่เลือกพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นรกจะเป็นที่น่าสะพรึงกลัวมากสำหรับคนที่ปฏิเสธพระองค์ เราควรบอกข่าวประเสริฐแก่ผู้หลงหายไปอย่างเร่งด่วนมากขึ้น ถ้าเราเข้าใจความบริสุทธิ์และความชอบธรรมของพระเจ้าที่จะทรงช่วยผู้ที่ได้เคยปฏิเสธการให้อภัยบาปอย่างหาที่สุดมิได้ ของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้า คนไม่สามารถอ่านพระคัมภีร์อย่างเอาจริงเอาจังได้โดยไม่อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก- ควรขีดเส้นใต้ พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่ามีเพียงผู้เดียวและทางเดียวที่จะไปถึงสวรรค์-โดยทางพระเยซูคริสต์ พระเยซูได้ทรงให้คำเตือนนี้แก่เรา “จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะประตูใหญ่และทางกว้างนำไปสู่ความพินาศ และคนเป็นอันมากเข้าไปทางนั้น ส่วนประตูเล็กและทางแคบนำไปสู่ชีวิต และมีเพียงไม่กี่คนที่ค้นพบ” (มัทธิว 7:13-14)
มีเพียงทางเดียวไปถึงสวรรค์ และผู้ที่ติดตามทางนั้นถูกรับรองว่าจะไปถึงแน่ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่กำลังไปตามทางนั้น คุณเป็นคนนั้นหรือไม่
คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”
///ศาสนาช่วยมนุษย์ได้จริงหรือครับ
"ทุกศาสนาสอนคนให้เป็นคนดี" เป็นคำพูดที่ถูกต้อง 100 %
(แต่ไม่ใช่ทุกศาสนาเหมือนกัน "ดี" ตรงนี้ หมายถึงแค่คำสอนขั้นพื้นฐาน
ไม่ใช่หลักข้อเชื่อ คำสอนศีลธรรมขั้นพื้นฐานคืออะไร ? ... ก็คือคำสอนที่ว่าอย่าโกหก อย่าล่วงประเวณี ห้ามขโมง ฯลฯ) เพราะถ้าหากไม่สอนให้คนเป็นคนดีแล้ว เขาคงจะไม่ตั้งเป็นศาสนา หรือเรียกว่าศาสนาอย่างแน่นอน ซึ่งพระคัมภีร์ เองก็สนับสนุนคำพูดนี้
"ศาสนานั้นดีถ้าผู้ใดใช้ให้ถูก" (1ทิโมธี 1:8)
จากข้อพระคัมภีร์ข้างต้นเราจะเห็นได้ว่า พระคัมภีร์ได้บอกว่า ศาสนานั้นดีถ้าใช้ให้ถูก
ใช้ถูกอย่างไร ? ... ก็คือใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์ของมัน
แล้วศาสนามีขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อะไรล่ะ ?
"...ศาสนานั้นทำให้เรารู้จักบาปได้" (โรม 3:2) (กาลาเทีย 3:19)
จากข้อพระคัมภีร์ข้างต้นนี้เราจะเห็นได้ว่าวัตถุประสงค์ของศาสนาก็เพื่อให้มนุษย์รู้จักบาปได้
หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ศาสนานั้นเปรียบเสมือนเครื่องเอ็กซเรย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ที่ดี คือนำมาวินิจฉัยโรคภายในตัวของมนุษย์ (ซึ่งเราก็ไม่จำเป็น จะต้องมานั่งเถียงกันว่าเครื่องเอ็กซเรย์ยี่ห้อไหนมันดีกว่ากัน) เมื่อคนหนึ่งที่มีโรคร้ายถ้าเขา จะเข้าไปหาเครื่องเอ็กซเรย์ ก็จะทำให้เขาเห็นความน่ากลัวของโรคร้ายมากขึ้น
เช่นเดียวกัน เมื่อมนุษย์ยิ่งเข้าใกล้ชิดศาสนาเขาก็จะยิ่งเห็นถึงความน่ากลัวของความผิดบาปของตนเอง ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นด้าน
ความคิด ที่สกปรก คิดไม่ดี แช่งสาป อิจฉาริษยา
ตา ใช้ตาในทางที่ผิด มองในสิ่งที่ไม่ควรมอง ฯลฯ ถ้าตาเราเหมือนกับเครื่องฉายหนัง ใครกล้าเอามาฉายให้คนอื่นดูว่าเขามองอะไรมาบ้าง
ปาก พูดในสิ่งที่ทำลายคนอื่น ใช้ลิ้นนินทา ด่าว่า พูดคำหยาบ โกหก พูดเสียดสี ถ้าปากของเราเป็นเครื่องบันทึกเสียง ใครกล้าเอามาเปิดให้คนอื่นฟังว่าเขาพูดอะไรบ้าง
มือ ขโมย ฆ่า แต๊ะอั๋งผู้หญิง ฯลฯ ลองถามตัวเองดูสิว่า มือคู่นี้ของเราไม่เคยขโมยหรือ ?
และยังมีความผิดบาปอีกมากมาย ที่เมื่อคนคนหนึ่งเข้าใกล้ชิดศาสนาจะสามารถเห็นได้ในตัวเขา แต่แม้จะเห็นและรู้อย่างชัดเจนก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้
เครื่องเอ็กซเรย์รักษาโรคไม่ได้ฉันใด ศาสนา ก็รักษาโรคบาปไม่ได้ฉันนั้น
เครื่องเอ็กซเรย์เป็นทางผ่านพาคนป่วยไปหาหมอเพื่อรักษา โรคร้ายฉันใด ศาสนาก็เป็นทางผ่านฉันนั้น
ปัญหาที่มนุษย์ทุกคนเผชิญอยู่ทุกวันนี้ "ไม่ใช่ไม่รู้ว่าตัวเองมีบาป" และมิใช่ว่า "ไม่รู้ว่าจะต้องความผิดบาปออก" เพราะศาสนาหรือเครื่องเอ็กซเรย์ก็ได้ชื่อให้เห็นถึงความผิดบาปหรือโรคร้ายที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์แล้ว และเขาก็รู้ดีว่าเขาจะต้องเอาออก
แต่ปัญหาของมนุษย์อยู่ที่ว่า "ฉันเป็นคนไข้ ฉันไม่ใช่หมอ ฉันจะช่วยตัวเองได้อย่างไร ฉันต้องการหมอ"
แล้วใครล่ะคือหมอผู้ที่สามารถรักษาโรคบาปนั้นได้ เมื่อเรารู้แล้วว่ามนุษย์ทุกคนต่างก็มีเชื้อ ?
อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์
จากหนังสือ ศาสนา...ช่วยมนุษย์ได้จริงหรือ?
หลักความเชื่อจริงๆคืออะไรครับ
ถ้าผม กับประธานาธิบดีของสหรัฐเป็นเพื่อนกัน คนก็รู้กันทั่วโลก
วันหนึ่ง ประธานาธิบดีเกิดหัวใจวายตายกระทันหัน และผมก็เอาศพของท่านไปฝังไว้ที่ห้องใต้ดิน โดยไม่ให้ใครรู้
ต่อมาเมื่อมีนักข่าวมาถามผมว่า "ประธานาธิบดีไปไหน"
ผมก็ตอบว่า "ท่านไปเมืองนอก 2-3 เดือน"
คุณคิดว่าเขาจะเชื่อผมไหม
แน่นอน เขาอาจจะเชื่อคำพูดของผม
แต่เชื่อเกิน 100 ปีไหมครับ ? ... ไม่มีทางเด็ดขาด
ไม่ต้อง 100 ปีหรอกครับ ผ่านไปครึ่งปี เขาก็ไม่เชื่อผมแล้ว
แต่นี่เกือบ 2,000 ปีมาแล้ว คนก็ยังเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย และยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้
ซึ่งถ้าคุณจะศึกษาประวัติศาสตร์แล้ว คุณก็จะรู้ว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีคนยอมตายเพื่อจะเป็นพยานว่า พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากตายจริง ๆ ถึง 40 ล้านคน และจำนวนของคนที่ยอมตายเพื่อความเชื่อนี้ กำลังเพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้
คุณลองคิดดูสิครับ ถ้าพระองค์ไม่ได้เป็นขึ้นจากความตาย ความเชื่อนี้จะอยู่ได้อย่างไร เกือบ 2,000 ปีมาแล้ว และยังมีคนตายเพื่อความเชื่อนี้มากมายอีกด้วย ?
ถ้าคุณจะถามผมว่า "อะไรคือรากฐานที่สำคัญที่สุดของศาสนาคริสเตียน ?"
นั่นก็คือ "พระเยซูคริสต์ตายแล้ว 3 วัน หลังจากนั้นพระองค์ก็ฟื้นจากตายและยังมีชีวิตอยู่ จนถึงทุกวันนี้และตลอดไปเป็นนิตย์"
เพียงแต่คนคนหนึ่งหาเหตุผลเพียงข้อเดียว มาพิสูจน์ว่า เรื่องการฟื้นจากตายของพระเยซูคริสต์เป็นเรื่องโกหก เขาก็สามารถที่จะ ลบล้างศาสนาคริสเตียนออกจากโลกนี้ได้เลย
และตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีคน เป็นจำนวนมากพยายามหาหลักฐานเพื่อจะมาลบล้างความเชื่อถือนี้ของคริสเตียน แต่ข้อมูลและหลักฐานที่พวกเขาค้นพบนั้นมันกลับยิ่งสนับสนุนมากยิ่งขึ้นว่า พระเยซูคริสต์ได้ฟื้นจากความตายแล้วจริง ๆ
พระเยซูเกิดในหมู่บ้านชาวนา ในคอกสัตว์ มีชีวิตที่ยากจน
มีอาชีพเป็นช่างไม้ พระองค์ไม่ใช่คนรวย ไม่มีอำนาจทางการเมือง
ไม่เคยเขียนหนังสือแม้แต่เล่มเดียว ไม่เคยเดินทางไกลเกิน 200 กิโลเมตร จากที่ที่พระองค์เกิด
เมื่อพระองค์อายุ 30 ปี ก็เริ่มประกาศข่าวดีแห่งความรอดให้แก่มนุษย์
เมื่อพระองค์อายุ 33 ปี คนก็ไม่ต้อนรับพระองค์ พระองค์ถูกพวกศัตรูของพระองค์พาพระองค์ไปขึ้นศาลเตี้ย และพระองค์ก็ทรงถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการตรึงบนไม้กางเขน
เมื่อพระองค์ตาย เขาก็นำศพของพระองค์ไปฝังไว้ในอุโมงค์ แต่พระองค์ก็ไม่ยอมอยู่ในนั้น
3 วันต่อมา พระองค์ก็ลุกขึ้น
ผ่านไปเกือบ 2,000 ปี พระองค์ก็ยังทรงเป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์ เป็นผู้นำของพวกเรา
ไม่ว่าเรื่องของพระองค์ไปที่ไหน ความหวังใหม่ ชีวิตใหม่ และการอภัยโทษบาปก็ไปถึงที่นั่น จนมีคำกล่าวว่า
"กองทัพที่เคยรบ เรือรบที่เคยแล่น กษัตริย์ที่ครองราชย์ ไม่มีผลต่อมนุษย์เท่ากับพระองค์เพียงคนเดียวเลย"
เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณจะปฏิเสธพระองค์ได้หรือ ?
อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์
จากหนังสือ ศาสนา...ช่วยมนุษย์ได้จริงหรือ?
///พระคัมภีร์มีคำตอบครับ
พระคัมภีร์มีข้อผิดพลาด, สิ่งที่ขัดแย้งกัน, สิ่งที่ไม่ตรงกันไหม?
คำถาม: พระคัมภีร์มีข้อผิดพลาด, สิ่งที่ขัดแย้งกัน, สิ่งที่ไม่ตรงกันไหม?
คำตอบ: หากท่านอ่านพระคัมภีร์โดยไม่ลำเอียงหรือพยามยามที่จะค้นหาข้อผิดพลาด ท่านก็จะพบว่าพระคัมภีร์เป็นหนังสือที่แสดงเรื่องราวต่อเนื่องกัน, สอดคล้องกัน, และง่ายต่อการเข้าใจ แน่นอนว่ามีข้อความบางตอนที่ยาก และบางตอนดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกันเอง แต่เราต้องเข้าใจว่าพระคัมภีร์ถูกเขียนโดยคนประมาณ 40 คนโดยใช้เวลานานประมาณ 1500 ปี ผู้เขียนแต่ละคนเขียนด้วยลีลาที่แตกต่างกัน จากมุมมองที่แตกต่างกัน ถึงผู้ฟังที่แตกต่างกัน และด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราจึงควรคาดหวังที่จะเห็นข้อแตกต่างบ้าง! แต่อย่างไรก็ตามข้อแตกต่างที่ว่าไม่ใช่ข้อขัดแย้ง มันจะถือว่าเป็นข้อผิดพลาดได้ก็ต่อเมื่อข้อความในพระคัมภีร์ขัดแย้งกันจนไม่สามารถลงรอยกันได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังหาคำตอบไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคำตอบ มีหลายคนพบว่าสิ่งที่คิดว่าเป็นข้อผิดพลาดในพระคัมภีร์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์หรือภูมิศาสตร์ หลักฐานทางโบราณคดีที่ถูกค้นพบต่อมาก็ได้พิสูจน์ว่าพระคัมภีร์ถูกต้อง
ในเว็บภาษาอังกฤษของเรา เราได้รับคำถามทำนองนี้บ่อย ๆ “ช่วยอธิบายหน่อยว่าข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ไม่ได้ขัดแย้งกัน” หรือ “นี่ไงข้อผิดพลาดในพระคัมภีร์!” เราต้องยอมรับว่าบางครั้งคำถามที่ถามมาเป็นเรื่องยากที่จะตอบ แต่เรายืนยันว่าทุกข้อสงสัยที่ว่าข้อพระคัมภีร์ขัดแย้งกันเองและมีข้อผิดพลาด มีคำตอบที่เป็นไปได้ สมเหตุสมผล และรับได้ มีหนังสือและเว็บมากมายที่พิสูจน์ว่าสิ่งที่คิดว่าเป็นข้อผิดพลาดทุกประการในพระคัมภีร์นั้นไม่จริง แต่เป็นที่น่าเสียใจว่าคนที่โจมตีพระคัมภีร์ไม่ได้สนใจในคำตอบอย่างแท้จริง – นอกจากจะโจมตีพระคัมภีร์เท่านั้น – คนที่ชอบ “โจมตีพระคัมภีร์” หลายคนรู้คำตอบดี แต่ก็ยังอยากโจมตีอยู่ดีด้วยการใช้การโจมตีตื้น ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทีนี้ท่านจะทำอย่างไรหากมีคนถามเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นข้อผิดพลาดในพระคัมภีร์? (1) จงศึกษาข้อพระคัมภีร์ด้วยใจอธิษฐาน แล้วดูว่ามีคำตอบง่าย ๆ ไหม (2) ค้นคว้าหาข้อมูลจากฐานข้อมูลที่ดีที่สุดเช่นหนังสืออธิบายพระคัมภีร์, หนังสือ “สู้คดีพระคัมภีร์” และเว็บต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช่ได้ (3) ถามศิษยาภิบาล/หรือผู้นำคริสตจักรของท่านดูว่าเขาจะมีคำตอบให้ท่านไหม (4) หากท่านทำทั้งข้อ 1, 2 และ 3 แล้วก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนก็ขอให้ท่านวางใจในพระเจ้าว่าพระวจนะของพระองค์เป็นความจริงและมันจะต้องมีคำตอบอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งที่ท่านยังหาไม่เจอเท่านั้น (2 ทิโมธี 2:15; 3:16-17)