( บทความจาก อ.ธวัธ)
หลายคนสงสัยถามว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ “อัจฉริยะของโลก”
มีความคิดอย่างไรในเรื่องของพระเจ้า เขาเป็นคริสเตียนหรือไม่
หรือพูดเกี่ยวกับพระองค์ไว้แบบไหนบ้าง? ในหนังสือ Our Daily Bread
ฉบับเดือนกันยายนที่ผ่านมา เอช. เดนนิส ฟิชเชอร์ได้บอกเรื่องราวเหล่านี้
บางส่วนแก่เราแต่ก่อนนั้นให้เรามาทำความรู้จักกับคนที่ฉลาดสุดๆในโลกคนนี้สักเล็กน้อยอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เกิดเมื่อปี ๑๘๗๙ ณ เมืองอูล์ม ประเทศเยอรมันนี
ในครอบครัวของคนเยอรมันที่มีเชื้อสายยิว ตอนเป็นเด็กเขาทำคะแนนในวิชาอื่นได้แย่มาก
(ยกเว้นดนตรี) แต่ในวิชาคณิตศาสตร์กลับทำคะแนนได้ยอดเยี่ยม
เป็นคนที่เงียบขรึมและไม่ชอบออกไปเล่นกันเด็กอื่นๆ จนพ่อคิดว่าเขาเป็นเด็กโง่
จึงจ้างครูมาสอนพิเศษที่บ้าน
ไอน์สไตน์เป็นคนที่สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ แค่มีห้อง โต๊ะเขียนหนังสือก็เพียงพอแล้ว เขาสามารถนั่งฝันนั่งคิดไปได้เรื่อยๆ เขาเคยกล่าวว่า ทุกอย่างในชีวิตของเขาสามารถปลดปล่อยออกมาในหน้ากระดาษได้ ดังนั้นตลอดชีวิตของเขาจึงมีบทความมากกว่า ๔๐๐ เรื่อง และยังเป็นผู้คิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพและทฤษฎีการแผ่รังสี ซึ่งสิ่งที่เขาคิดค้นดังกล่าวนี้เอง ทำให้ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลในเวลาต่อมา[1] จุดเริ่มของการเป็นนักวิทยาศาสตร์ของไอน์สไตน์มาจาก “เข็มทิศ” ที่ได้รับขณะเมื่อเขานอนแซ่วอยู่บนเตียงคนป่วยตอนอายุได้ ๕ ขวบ เขาครุ่นคิดอยู่ทั้งวันว่า ทำไมเข็มทิศจึงชี้ไปทางเหนือตลอดเวลา อัลเบิร์ตชอบทั้งคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ขณะเดียวกันก็ชอบดนตรีด้วย ไวโอลีนเป็นสิ่งที่เขาโปรดปรานมาก เขาเล่นด้วยความรู้สึกส่วนตัว เล่นเพื่อความสุขของตนเอง ส่วนผู้ฟังเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น ปี ๑๙๐๓ ไอน์สไตน์ได้พบรักและแต่งงานกับมิเลวา มารี เพื่อนเก่าครั้งสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยซูริคด้วยกัน ต่อมาเขาได้ค้นพบทฤษฎีใหม่ ที่ค้านกับทฤษฎีเดิมๆของจอห์น ดาลตัน “สสารย่อมไม่สูญไปจากโลก เพราะอะตอมเป็นส่วนที่เล็กที่สุดของสสาร ซึ่งไม่สามารถแยกออกไปได้อีก” แต่ไอน์สไตน์พบว่า “สสารย่อมมีการสูญสลาย นอกจากพลังงานเท่านั้นที่ไม่สูญสลาย เพราะพลังงานเกิดขึ้นจากสสารที่หายไป และอะตอมไม่ใช่ส่วนเล็กที่สุดของสสาร เพราะฉะนั้น จึงสามารถแยกออกไปได้อีก” ในปี ๑๙๔๒ ไอน์ไสตน์ได้คิดค้นระเบิดปรมาณู โดยใช้งบประมาณ ๒ พันล้านเหรียญสหรัฐ และสามารถสร้างนิวเคลียร์ขึ้นมาได้ ๓ ลูก เป็นช่วงเวลาที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ และในกลางปี ๑๙๔๕ เยอรมันนีกับอิตาบียอมแพ้สงคราม เหลือแต่ญี่ปุ่นเท่านั้นที่สู้ต่อและคิดจะครองโลกแต่เพียงผู้เดียว ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตัดสินใจทิ้งบอมพ์ที่เมืองฮิโรชิมา เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม เกิดระเบิดเป็นรูปดอกเห็ดสูงถึง ๘ ไมล์ มีคนบาดเจ็บและตายกว่า ๑ แสน ๕ หมื่นคน แต่ญี่ปุ่นยังไม่ยอมแพ้ จึงถูกบอมพ์อีกลูกในสามวันต่อมาที่เมืองนางาซากิ และมีคนตายราว ๑ แสนคน นิวเคลียร์สองลูกนี้ทำให้ญี่ปุ่นยกธงขาวทันที ไอน์สไตน์รู้สึกเสียใจมากในเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น เขามีความคิดว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ควรจะนำมาใช้ประโยชน์ทางสันติมากกว่าที่จะมาใช้เป็นเครื่องมือประหัตประหารทำสงครามกัน จึงได้มีการลงนามการใช้ปรมาณูเพื่อสันติ ไอน์สไตน์กล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าอาวุธชนิดใดที่จะใช้ในสงครามโลกครั้งที่สาม แต่ในสงครามโลกครั้งที่สี่นั้น มนุษย์จะสู้รบกันด้วยท่อนไม้และก้อนหิน” ไอน์สไตน์กล่าวถึงการดำเนินชีวิตของตนเองว่า “คนเราจะต้องการอะไรอีก นอกจากอาหารอร่อย มีไวโอลีนให้เล่น มีที่นอน มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งเขียนหนังสือ” ในที่สุดเขาเสียชีวิตลงอย่างสงบด้วยโรคหัวใจวาย ในปี ๑๙๕๕ ในขณะที่ใกล้จากจะโลกนี้ไป สมองของเขายังพยายามคิดค้นสิ่งใหม่ๆอยู่ เดนนิส ฟิชเชอร์กล่าวถึงเคยมีคนถามนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ว่า “ท่านเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?” ไอน์สไตน์ตอบว่า “คนเราก็เป็นเหมือนเด็กเล็กๆที่เดินเข้าไปในห้องสมุดที่มีหนังสือภาษาต่างๆมากมาย เด็กเหล่านี้รู้ว่า หนังสือเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่จะต้องมีคนเขียนขึ้นมา ผมคิดว่าแม้แต่มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดก็มีทัศนะคติต่อพระเจ้าแบบนี้ เราได้เห็นว่าทุกสิ่งในจักรวาลถูกวางแบบแผนไว้อย่างน่าอัศจรรย์ และดำเนินไปตามกฎเกณฑ์บางอย่าง แต่เราก็เข้าใจกฎเหล่านี้อย่างเลือนราง” เขาตอบได้อย่างชาญฉลาด! ฟิชเชอร์กล่าวต่อไปว่า “ถึงแม้ไอน์สไตน์จะรู้สึกอัศจรรย์ใจกับการสร้างสรรค์ที่เขาเห็นในธรรมชาติ แต่เขาก็มิได้เชื่อในพระผู้สร้าง”ดังนั้น ใครที่หวังว่าจะได้พบกับอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ในอนาคต ก็คงจะต้องผิดหวังเสียแล้วล่ะครับ!. ปากไม่กล้าบอกแต่จิตสำนึกยอมรับ มีใครบ้างที่โกหกจิตสำนึกได้
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
เกี่ยวกับฉัน
- คริสเตียนไทยรับใช้พระเจ้า
- พวกเราเป็นกลุ่มคริสตจักรท่มีความเชื่อตามหลักของพระคัมภีร์อย่างเคร่งครัด เราเชื่อว่า เรารอดโดยพระคุณพระเจ้า และเชื่อในตรีเอกานุภาพ และพระคัมภีร์66เล่มเป็นการดลใจจากพระเจ้าและไม่มีความผิดพลาดของต้นฉบับ และพระวจนะของพระเจ้าเป็นแหล่งชีวิตและความจริง เป็นหนังสือท่ช่วยในการดำเนินชีวิตประจำวัน เราเชื่อว่าเมื่อเราเชื่อในพระองค์เราได้รับองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ในทันใดนั้น เพราะทรงประทับตราเรา ( เอเฟซัส 1:13-14)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น