ขอบคุณสำหรับเรือ

ขอบคุณสำหรับเรือ

ลุยช่วยคนที่น้ำท่วม

ลุยช่วยคนที่น้ำท่วม
ระวังเรือล่มนะ

ช่วยเหลือพี่น้องที่น้ำท่วม

ช่วยเหลือพี่น้องที่น้ำท่วม
เราคนไทยไม่ทิ้งกัน

อย่าลืมอธิษฐานเผื่อพี่น้องอาข่านะครับ

อย่าลืมอธิษฐานเผื่อพี่น้องอาข่านะครับ
เราต้องการคำอธิษฐานเผื่อ

ภาพนี้ให้บทเรียนอะไรบ้าง

ภาพนี้ให้บทเรียนอะไรบ้าง
จะปลอบใจ หนุนใจ กันเถิด

หัวเหดหยัง

หัวเหดหยัง
อย่าเว้าเรื่องแฟนอายเผิน

การเลือกคู่ครองที่ถูกต้อง

การเลือกคู่ครองที่ถูกต้อง
อย่าเทียมแอกกับคนไม่เชื่อ

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

มหาตมะคานธี เห็นพระเจ้าในพระคัมภีร์ แต่ไม่เห็นในชีวิตคริสเตียน

( บทความ จาก อ. ธวัช)
มหาตมะคานธีผู้ยึดหลักการอหิงสา(กระทำโดยไม่กระทำ)กล่าวว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีชีวิต”
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์กล่าวถึงมหาตะคานธีว่า “คนรุ่นอนาคตจะไม่มีทางเชื่อเลยว่า มีคนแบบนี้อยู่จริงบนโลกมนุษย์นี้”มาร์ติน ลูเธอร์คิงกล่าวยกย่องว่า “พระเยซูเจ้าทรงมอบคำสอนแก่ข้าพเจ้า ส่วนคานธีเป็นผู้มอบวิธีการ”โมฮันดาส คาดามจันด์ คานธีเกิดเมื่อปี ๑๘๖๙ ที่เมืองเล็กๆชื่อขัตติยวาส เขตสุทามาปุรี แคว้นบอมเบย์ เป็นชาวฮินดูในตระกูลแพทย์ มักเป็นที่ดูหมิ่นเหยียดหยามของคนที่วรรณะสูงกว่าอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ให้ทำให้คานธีเกลียดการแบ่งชนชั้นอย่างเข้ากระดูกดำ
คานธีเป็นลูกคนเล็กที่ถูกพ่อแม่ตามอกตามใจ ถึงกระนั้นเขาก็ยังรู้สึกประทับใจในความเชื่อในศาสนาของผู้เป็นแม่ ที่ไม่แตะต้องเนื้อสัตว์ มักภาวนาและถือศีลอดอาหารอยู่บ่อยๆ คานธีแต่งงานเมื่ออายุยังน้อย เพียงแค่ ๑๓ ปีเท่านั้นกับหญิงสาวชื่อคาสตวา
พออายุได้ ๑๗ ปีเขาก็ทิ้งครอบครัวไปเรียนกฎหมายต่อที่ประเทศอังกฤษ เมื่อเรียนจบก็กลับมาประกอบอาชีพทนายที่บ้านเกิด แต่ไม่นานก็ย้ายไปทำมาหากินอยู่ที่อาฟริกาใต้ ที่นั่นคานธีได้พบกับการแบ่งชั้นวรรณะมากกว่าที่อินเดียเสียอีก ครั้งหนึ่งเขาตีตั๋วรถไฟชั้นหนึ่ง แต่กลับถูกเหยียดหยามจากผู้โดยสารผิวขาวและให้พนักงานรถไฟไล่ให้เขาไปอยู่ชั้นสาม แต่คานธีไม่ยอม พอถึงสถานีแรกรถไฟก็จอด พวกพนักงานเข้ามาจับเขาโยนลงจากรถไฟอย่างไร้ความปรานี ซึ่งเขาถือว่าจุดนี้เป็นประสบการณ์ที่สร้างสรรค์มากที่สุดในชีวิตเลย ต่อมาอังกฤษได้ออกกฎหมายที่กดขี่ข่มเหงคนอินเดียมากขึ้น คานธีได้ชักชวนคนอินเดียลุกขึ้นแข็งข้อต่ออังกฤษด้วยวิธีการ “อหิงสา” คือไม่ให้ความร่วมมือ ผู้ประท้วงถูกตำรวจทุบตีอย่างทารุณ แต่ก็ไม่มีการต่อสู้ขัดขืนแต่อย่างใด จนกระทั่งอังกฤษต้องยกเลิกกฎหมายฉบับนั้นครั้งหนึ่งที่อาฟริกาใต้ คานธีได้เข้าไปร่วมนมัสการพระเจ้าที่โบสถ์คริสเตียนแห่งหนึ่ง แต่ผู้ปกครองคริสตจักรซึ่งยืนที่ประตูและห้ามเขามิให้เข้าไปโดยบอกว่า “ที่นี่ต้อนรับเฉพาะคนผิวขาวเท่านั้น” ท่าทีแบบนี้เป็นเหตุทำให้คานธีมีความรู้สึกว่า คำสอนของพระเยซูคริสต์นั้นดีมากๆ (เขามักจะอ่านพระคัมภีร์เสมอ โดยเฉพาะคำเทศนาบนภูเขาของพระเยซู) แต่บรรดาผู้นับถือพระองค์ยังมีการแบ่งชั้นวรรณะอยู่ สันนิษฐานว่านี่อาจเป็นเหตุทำให้คานธีไม่สนใจที่เป็นคริสเตียนอีกเลยปี ๑๙๑๕ คานธีกลับมาที่อินเดีย เขาได้ปลุกระดมคน ๒ พันคนให้ประท้วงอังกฤษ เพราะคนอินเดีย ๓๐๐ ล้านคน ต้องยอมจำนนต่อคนอังกฤษจำนวน ๑ แสนคนที่ปกครองอยู่ และกอบโกยทรัพยากรกลับประเทศไปจำนวนมหาศาล มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ครั้งนั้นทหารอังกฤษยิงผู้ประท้วงตายไป ๓๗๙ คน (ที่หยุดยิงเพราะกระสุนหมด ไม่งั้นคงตายมากกว่านี้)คานธีหันมาใส่เสื้อผ้าธรรมดาแบบดั้งเดิมของคนอินเดีย พร้อมกับพูดว่า “เสื้อผ้าของคนต่างชาติที่ชาวอินเดียสวมใส่อยู่นั้น แสดงถึงความเป็นทาสต่อวัฒนธรรมของชาวตะวันตก และเราจะสามารถปลดปล่อยความเป็นทาสไปได้” ทำให้คนอินเดียเผาเสื้อผ้าเหล่านั้นทิ้งและหันมาใส่เสื้อผ้าพื้นเมือง ต่อมาเกิดปัญหาเรื่องเกลือ ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามาก แต่อังกฤษกลับออกกฎหมายห้ามคนอินเดียทำเกลือ คานธีทำการต่อสู้(ด้วยหลักการอหิงสา)เรื่องนี้จริงจัง จนกระทั่งถึงปี ๑๙๔๒ คานธีซึ่งอยู่ในวัย ๗๓ ปี ก็ตั้งต้นประกาศอิสรภาพแก่ประเทศอินเดีย แต่ก็ได้มาจริงๆในอีกห้าปีต่อมา ลุล่วงมาจนถึงวัย ๗๘ ปีคานธีได้เข้าไปสวดมนต์ในสวนเวอริฮาทร์ ชายคนหนึ่งได้ชักปืนออกมายิงใส่เขา ๓ นัดซ้อน ขณะที่คานธียังสวดมนต์พึมพัมและจบชีวิตอย่างสงบโดยไม่แสดงความประหลาดใจหรือมีอาการเจ็บปวดใดๆคานธีได้กล่าวถึง “บาป ๗ ประการ”[1] เล่นการเมืองโดยไม่มีหลักการหาความสุขสำราญโดยไม่ยั้งคิดร่ำรวยเป็นอักนิษฐโดยไม่ต้องการทำงาน มีความรู้มหาศาล แต่ความประพฤติไม่ดี ค้าขายโดยไม่มีหลักศีลธรรมวิทยาศาสตร์ล้ำเลิศ แต่ไม่มีคุณธรรมแห่งมนุษย์บูชาสูงสุด แต่ไม่มีความเสียสละ เวอร์นอน ซี กราวน์ส[2] ได้เขียนถึงมหาตมะคานธีว่า “เมื่อ อี สแตนลีย์ โจนส์ ไปเป็นมิชชันนารีที่ประเทศอินเดีย เขาได้มีโอกาสพบกับมหาตมะคานธี ผู้นำที่ชายอินเดียยกย่อง เขาได้ตั้งคำถามเพื่อค้นหาความจริงว่า “คริสเตียนจะสามารถมีอิทธิพลต่อประเทศของคุณได้อย่างไร?” คานธีได้ให้คำตอบที่น่าคิดเอาไว้ว่า “คริสเตียนต้องมีสามสิ่งต่อไปนี้ ประการแรก คริสเตียนจะต้องเริ่มต้นมีชีวิตเหมือนพระเยซูมากขึ้น ประการที่สอง คริสเตียนจะต้องนำเสนอความเชื่อโดยไม่มีการประนี ประนอม และประการสุดท้าย คริสเตียนควรจะเน้นในเรื่องความรักซึ่งเป็นหัวใจของพระกิตติคุณ” พวกเราเมื่อได้ยินแล้ว น่าจะเก็บเอามาพิจารณาดูนะครับ! หากเราคริสเตียนจะดำเนินชีวิตประจำวันเหมือนกับพระเยซู มีความเชื่อศรัทธาอย่างแรงกล้า และมีความรัก(เสียสละ)อย่างไม่จำกัด เชื่อว่าคนทั้งโลกจะหันมาไว้วางใจในพระคริสต์ รับสันติสุขและมีชีวิตนิรันดรอย่างแน่นอน. พี่น้องที่รักเรากำลังปิดบังทางไปสวรรค์ของคนอื่นหรือเปล่า จงสำรวจและสารภาพและดำเนินชีวิตใหม่เด้อ และเราก็หย่าเหมือนคานธีรู้จักเจ้าของสวรรค์แต่ไม่ยอมเข้าไป และเอาแต่คำสอนแต่ไม่เอาตัวผู้สอน เกลียดตัวกินไขเกลียดปลาไหลกินนำแกง และวันหนึ่งพระเยซูก็จะตอบอย่างจุใจเลยว่า เราไม่รู้จักเจ้าเลยแม้คุณจะรู้จักเรา
( มัทธิว 7.21-23)
มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ 22เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์กล่าวพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์ มิใช่หรือ' 23เมื่อนั้นเราจะได้กล่าวแก่เขาว่า 'เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา' 24 "เหตุฉะนั้นผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา 25ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา 26แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตามเล่า เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย 27ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่ง

[1] แปลโดยกรุณา กุศลาสัย มติชนรายสัปดาห์ ฉบับ ๔-๑๐ กันยายน ๒๕๕๒ หน้า ๕๙[2] หนังสือ Our Daily Bread ๑๐ สิงหาคม ๒๐๐๙

ไม่มีความคิดเห็น:

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
พวกเราเป็นกลุ่มคริสตจักรท่มีความเชื่อตามหลักของพระคัมภีร์อย่างเคร่งครัด เราเชื่อว่า เรารอดโดยพระคุณพระเจ้า และเชื่อในตรีเอกานุภาพ และพระคัมภีร์66เล่มเป็นการดลใจจากพระเจ้าและไม่มีความผิดพลาดของต้นฉบับ และพระวจนะของพระเจ้าเป็นแหล่งชีวิตและความจริง เป็นหนังสือท่ช่วยในการดำเนินชีวิตประจำวัน เราเชื่อว่าเมื่อเราเชื่อในพระองค์เราได้รับองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ในทันใดนั้น เพราะทรงประทับตราเรา ( เอเฟซัส 1:13-14)