ขอบคุณสำหรับเรือ

ขอบคุณสำหรับเรือ

ลุยช่วยคนที่น้ำท่วม

ลุยช่วยคนที่น้ำท่วม
ระวังเรือล่มนะ

ช่วยเหลือพี่น้องที่น้ำท่วม

ช่วยเหลือพี่น้องที่น้ำท่วม
เราคนไทยไม่ทิ้งกัน

อย่าลืมอธิษฐานเผื่อพี่น้องอาข่านะครับ

อย่าลืมอธิษฐานเผื่อพี่น้องอาข่านะครับ
เราต้องการคำอธิษฐานเผื่อ

ภาพนี้ให้บทเรียนอะไรบ้าง

ภาพนี้ให้บทเรียนอะไรบ้าง
จะปลอบใจ หนุนใจ กันเถิด

หัวเหดหยัง

หัวเหดหยัง
อย่าเว้าเรื่องแฟนอายเผิน

การเลือกคู่ครองที่ถูกต้อง

การเลือกคู่ครองที่ถูกต้อง
อย่าเทียมแอกกับคนไม่เชื่อ

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เชิญเรียนพระคัมภีร์ทางเวบ กับ อ.สมชิต ฟรี

- คำนำ วิชาเบื้องหลังพระคัมภีร์
หนังสื่อที่ขายดีที่สุดในโลกคือพระคัมภีร์ หนังสื่อที่แปลมากที่สุดในโลกคือพระคัมภีร์ หนังสื่อที่เปลี่ยนแปลงชีวิตมากที่สุดคือพระคัมภีร์ หนังสือไม่มีใครทำลายได้คือพระคัมภีร์และหนังสือที่มีอำนาจมากที่สุดคือพระคัมภีร์ฮีบรู 4.12 เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย อาวุธที่ดีที่สุดของโลกคือพระคัมภีร์ ถ้าไม่มีพระคัมภีร์เราไม่รู้เลยว่าอะไรคือความจริงและพระคัมภีร์เป็นอุปกรณ์ที่พระเจ้าทรงใช้ให้เป็นสื่อเพื่อการติดต่อสื่อสารอธิบายให้มนุษย์ทุกคนได้รู้ความจริง ฮีบรู 1.1-3ในโบราณกาลพระเจ้าได้ตรัสด้วยวิธีต่างๆมากมายแก่บรรพบุรุษของเราทางพวกผู้เผยพระวจนะ 2แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลายทางพระบุตร ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก พระองค์ได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลโดยพระบุตร 3พระบุตรทรงเป็นแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์ และทรงผดุงโลกไว้ด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ เมื่อพระองค์ได้ทรงชำระบาปแล้ว ก็ได้ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าเบื้องบน
เมื่อเราได้รู้เบื้องหลังพระคัมภีร์เราก็จะรู้ว่าพระคัมภีร์ไม่ใช่หนังสือธรรมดาแต่เป็นหนังสือที่มหัศจรรย์
- บทที่ 1 ประวัติความเป็นมาของพระคัมภีร์
- เมื่อก่อนนั้นพระคัมภีร์เป็นเรื่องที่พ่อแม่ได้เล่าและสอนลูกหลานสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยอาดัมจนถึงโนอาห์และได้เป้นเรื่องที่ชัดเจนขึ้นในสมัยของอับราฮัมจนถึงสมัยโยเซฟและต่อมาถึงสมัยของโมเสสที่พระเจ้าได้ใช้ให้เป็นผู้ที่เขียนเป็นเรื่องราวเพราะเป็นแผนการของพระเจ้าที่จะให้เป็นภาพและติดต่อสื่สารกับชนชาติของพระองค์และเพื่อมวลทุกคนทั่วโลกจนถึงปัจจุบันนี้และพระเจ้ายังทรงใช้พระคัมภีร์เพื่อสำแดงความเข้าใจเรื่องพระเจ้า
- เมื่อเดิมนั้นพระคัมภีร์เรียกว่าพระบัญญัติและกฏหมายของพระเจ้าที่ให้กับโมเสสเพื่ออิสราเอลพระคัมภีร์ในสมัยก่อนนั้นทำจากหญ้าชนิดหนึ่งในประเทศอียิปต์ที่คล้ายๆกับต้นกกในประเทศไทยเขาเรียกว่า ปาปิรัส เขานำมาทำเป็นกระดาษเพื่อเขียนพระคัมภีร์ในสมัยนั้นเพราะง่ายและสะดวกแต่พระบัญญัติสมัยโมเสสนั้นเป็นศิลา หรือหินที่สกัด และต่อมาเป็นกระดาษและต่อมาใช้แผ่นหนัง และต่อมาก็ใช้ดินเหนียวแล้วแต่ว่าเหมาะสมในการใช้ และต่อมาเราเรียกว่าหนัวสือม้วนที่เรานำมาใช้เป็นพระคัมภีร์ในปัจจุบันนี้
- เมื่อเดิมนั้นมีพระคัมภีร์เดิมที่ชาวยิวได้เก็บรักษาและสั่งสอนอบรมลูกหลานและเก็บไว้ในพระวิหารและโมเสสได้วางแบบอย่างในการดูแลพระคัมภีร์ คือ ต้องมีการคัดลอกทุกๆ 7 ปี และในพระคัมภีร์นั้นมีการแบ่งแบบชาวยิวง่ายๆก่อนและจึงมาแบ่งเป็นระบบในภายหลังและมีทั้งหมด 39 เล่ม ซึ่งแต่ก่อนมี 34 เล่ม เพราะชาวยิวรวม 1-2 ซามูเอลและ 1-2 พงศาวดาร และพงศ์กษัตริย์
- เมื่อถึงสมัยของพระเยซูพระคัมภีร์ต้นฉบับยังอยู่หรือไม่เราไม่ทราบและไม่รู้ว่าฉบับไหนเป็นต้นฉบับเพราะของที่เนบูคัดเนซาขนไปก็ได้นำกลับคืนมายังเยรูซาเล็มและเอสราได้ปฏิรูปและมีการแปลและแบ่งพระคัมภีร์อย่างเป็นระบบจนถึงยุคเงียบ 400 ปี ก่อนพระเยซูเกิดและชาวยิวในสมัยของพระเยซูก็ไม่สงสัยต้นฉบับของพระคัมภีร์เดิมเลยและพระเยซูเองก็ยอมรับและยกย่องพระคัมภีร์ที่เป็นหนังสือม้วนในสมัยนั้น และสมัยนั้นก็มีการคัดลอกเพื่อใช้อ่านตามบ้านตามธรรมศาลาเพื่อใช้นมัสการศึกษาเล่าเรียนและเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ชาวยิวที่อยู่ต่างถิ่นและต่างแดนด้วย
- แต่สมัยของพระเยซูมีการต่อเติมพระคัมภีร์โดยพวกฟารีสีและธรรมจารย์เพื่อประโยชน์ของพวกเขาเองในการใช้อำนาจบีบบังคับประชาชนโดยใช้คำสอนจากบรรพบุรุษและธรรมเนียมต่างและเพิ่มกฏพิธีกรรมอื่นๆด้วย พระเยซูได้ตำหนิกลุ่มคนพวกนี้อย่างมากสาเหตุเพราะไม่มีมาตรฐานหรือบรรทัดฐาน หรือ แคนนอนที่ชี้วัดในสมัยนั้น แต่ แผนการของพระเจ้าและจุดประสงค์ของพระคัมภีร์นั้นยังเหมือนเดิมจนสำเร็จการไถ่บาปทางพระเยซูคริสต์
- ปัจจุบันนี้เราไม่รู้ว่าต้นฉบับของพระคัมภีร์อยู่ที่ไหน และแม้เราจะพบหนังสือมว้นที่ทะเลตายแล้วก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นต้นฉบับหรือไม่ แต่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ต้นฉบับหายไป แต่ถ้าเรามีต้นฉบับในปัจจุบันนี้ก็จะดีมากเพื่อจะทำให้บางข้อนั้นชัดเจนขึ้นและไม่เถียงกัน
- คำถามและข้อคิดในบทเรียน
/// ถ้าเราพบต้นฉบับในปัจจุบันนี้จะเกิดผลดีหรือผลเสีย
- ผลดีเพื่อจะมาเทียบดูว่าข้อไหนที่ยังไม่ชัดเจนจะได้กระจ่าง
- ผลเสีย หลายคนจะเอาไปบูชา และแย่งกันครอบครองและจะนองเลือดแน่ๆ
- บทที่ 2 การดลใจของพระคัมภีร์

- ในการดลใจของพระเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อพระคัมภีร์เพราะเมื่อตัดการดลใจออกไปพระคัมภีร์ก็เหมือนกระดาษปล่าวหรือไม่ต่างจากหนังสืออื่นๆทั่วไป
- ในเรื่องการดลใจจะมีเรื่อง การส่งผ่าน, การดลใจ,การที่พระเจ้าติดต่อกับมนุษย์ ( 2 ทธ.3.16 2ปต.1.20-21 ฮบ.1.1-3 โยบ 33.14-16 )
- พระเจ้าทรงตรัสกับมนุษย์หลายๆวิธีและทุกๆครั้งพระเจ้าเองเป็นผู้สำแดงเรียกเปิดเผยให้กับมนุษย์ส่วนมนุษย์เป็นเพียงผู้รับสารพระเจ้าเป็นผู้ส่งสารและเปิดเผยให้ทราบมนุษย์เป็นผู้บันทึกและถ่ายทอดข่าวสารของพระเจ้าและมนุษย์นั้นได้บันทึกตามจุดประสงค์ของพระเจ้าซึ่งเมื่อก่อนพระเจ้าทรงใช้พวกผู้เผยพระวจนะ ในการนำข่าวสารของพระเจ้าไปบอก
- ความหมายเรื่องการดลใจ
การดลใจแตกต่างจากแรงบันดาลใจ ต่างจากจินตนาการ ต่างจากการเชื่อเรื่องร่างทรง เพราะ การดลใจนั้นเป็นการสำแดงพิเศษจากพระเจ้าเพื่อเปิดเผยพระประสงค์ของพระเจ้าตามแผนการต่างๆและการดลใจพระเจ้าเป็นฝ่ายเดียวที่ทรงเปิดเผยถ้าไม่ทรงตรัสพวกผู้เผยพระวจนะจะ
บอกอะไรไม่ได้ ( 1ซมอ. 3.1,7,19-21 ) และการดลใจพระเจ้าทรงให้ผู้เขียนได้ใช้สไตล์หรือลีลาของตนเองตามบุคลิกลักษณะของคนนั้นๆเพื่อให้เป็นตามธรรมชาติและทำให้ผู้เชื่อปัจจุบันนี้ได้แกะรอยว่าใครเป็นผู้เขียนแม้ไม่ได้ปรากฏชื่อในจดหมายต่างๆในพระคัมภีร์ใหม่
การดลใจสามารถยอมรับได้โดยไม่มีความผิดพลาดเลยในส่วนของพระเจ้าแต่ส่วนของมนุษย์ย่อมมีความผิดพลาดบ้างในเรื่องวัสดุความแม่นยำ เช่น จำนวน ( 1ซมอ.10.15-19 1พศด.19.1-19 )
แต่ไม่มีผลอะไรเรื่องจำนวน และชาวยิวก็ยอมรับได้ และไม่ใช่เป็นเรื่องทางการ เช่น หนังสือพิมพ์รายงานข่าวเรื่องเดียวกันแต่บอกจำนวนไม่เท่ากัน น้อยไป มากไป อื่นๆ
การดลใจเรายอมรับได้โดยผู้เขียนสามารถรู้ในสิ่งที่คนมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถรู้ได้เลย เช่นโยบได้บอกว่า โลกแขวนไว้ในที่ว่างเปล่าหรือในหว้งอาวกาศ 26.7 และเรื่องโลกกลม อสย.40.22 เรื่องราวในอนาคต และเรื่อง อื่นๆ
การดลใจเป็นงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ( นหม.9.20 ยน.14.26 ลก.24.27,44-45 )
ผู้เชื่อได้ยอมรับอย่างสิ้นสุดใจว่าพระวิญญาณทรงดลใจ ( 2ทธ.3.16 2ปต.1.20-21 ) พระเจ้าทรงดลใจทุกข้อและทุกคำที่ใช้ในพระคัมภีร์

*** ข้อคิดและคำถามท้ายบทเรียน
- การดลใจแตกต่างจากแรงบันดาลใจอย่างไร
- อะไรที่พิสูจน์ว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจ
- ทำไมพระเจ้าต้องใช้วิธีดลใจพระคัมภีร์
- การดลใจแตกต่างจากนิมิตหรือความฝันหรือไม่และแตกต่างอย่างไร
- พระคัมภีร์ที่เรามีปัจจุบันนี้ได้รับการดลใจหรือไม่

- บทที่ 3 มาตรฐานและบรรทัดฐานหรือ แคนนอนของพระคัมภีร์
- อะไรเป็นมาตรฐานของพระคัมภีร์ 66 เล่ม

3.1 ปัญหาเรื่องการยอมรับแคนนอนหรือมาตรฐานของพระคัมภีร์เดิม
- พระคัมภีร์เดิมไม่มีปัญหาเรื่องการยอมรับแคนนอนเพราะชาวยิวยอมรับและยกย่อง
- แต่พระคัมภีร์บางเล่มมีคนสมัยปัจจุบันโต้งแย้งแต่ภายหลังก็ยอมรับได้
คือ พระธรรมเอสเธอ์เพราะไม่ปรากฏคำว่าพระเจ้าเลยแม้แต่คำเดียวแต่ยอมรับได้
เพราะเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าทรงอยู่เบื้องหลังในทุกๆเหตุการณ์
คือ พระธรรมเพลงซาโลมอนเพราะบางคนคิดว่าเป็นเรื่องลามกเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์
แต่ยอมรับได้เพราะเรื่องเพศเป็นเรื่องความบริสุทธิ์ไม่ใช่เป็นความบาป
และเป็นการแสดงความรักต่อเพศตรงข้ามในทางของความบริสุทธิ์สามีภรรยา
- แต่การโต้แย้งแทบไม่มีเลยเพราะพระเยซูเองทรงยอมรับไม่มีสงสัยหรือผิดพลาดเลย
- และพวกอัครทูตถึงท่านยอห์นเป็นสาวกคนสุดท้ายและบิดาแห่งคริสตจักรได้ยอมรับ

3.2 อะไรคือมาตรฐานของแคนนอนที่เราสามารถยอมรับได้
1. ผู้ที่กำหนดแคนนอน หรือ ตั้งแคนนอนขึ้นมา ( ใครเป็นผู้กำหนดแคนนอน )
ก. พระเจ้าเองทรงเป็นผู้ตั้งและกำหนดแคนนอนเพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ดลใจ
ข. ความเป็นจริงที่เขียนไว้และคำพยากรณ์เป็นผู้กำหนดแคนนอน
ค. บิดาแห่งคริสตจักรที่ตรวจสอบยอมรับและเก็บสะสมรักษาไว้อย่างดี
ง. อำนาจของพระคัมภีร์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตจิตใจของมนุษย์ได้จริง
2. การยอมรับแคนนอนทุกส่วนทุกคำทุกเรื่องในพระคัมภีร์ ( จะยอมรับได้ทั้งหมดหรือไม่)
ก. เพราะบางคำพูดไม่ใช่เป็นคำพูดของพระเจ้า
เช่น คำพูดของมารซาตาน เราถึงว่าเป็นพระคัมภีร์เพราะเป็นส่วนของพระคัมภีร์
เพื่อให้พระตัมภีร์สมบูรณ์และชัดเจน เพราะต้องการเปิดเผยทุกแง่มุมชีวิต
เช่น หนังก็มาบทพระเอกนางเอกตัวโกงเพื่อเนื้อเรื่องจะสมบูรณ์และมีเหตุผล
( 2ปต.1.20-21 )
ข. เพราะบางเล่มเป็นละครสดุดีร้อยแก้วร้อยกรองและกลอนสุภาษิตและเพลง
แต่เป็นวรรณกรรมที่พระเจ้าทรงดลใจเป็นพระคัมภีร์ ลก.24.27,44 2ทธ3.16
ค. เพราะบางครั้งเป็นเรื่องการอัศจรรย์เหนือธรรมชาติ
แต่เราไม่สามารถตัดออกได้เพราะเป็นเหตุการณ์จริงที่พระเจ้าสำแดงผ่านเพื่อเป็น
เหมือนลายเซ็นที่พระเจ้ารับรองการสำแดงของพระองค์แม้สมัยของพระเยซูเอง
และพวกสากก็ตามเป็นสัญลักษณ์ว่าพระเจ้าทรงอยู่เบื้องหลัง กจ.14.3 มก.16.20
ง. เพราะบางคนแย้งว่าเป็นเหมือนนิทานที่เชื่อถือไม่ได้
แต่พระคัมภีร์ไม่ใช่นิทานเหมือนชาวโลกเข้าใจแต่เป็นเรื่องประวัติศาสตร์จริง
ที่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้และจิตสำนึกของมนุษย์ก็แยกแยะออกว่าอะไรคือนิทาน
และพระคัมภีร์เป็นการสำแดงจากพระเจ้าฝ่ายเดียวมนุษย์ไม่สามารถแต่งขึ้นเองได้
3. เพราะแคนนอนนั้นมีศิลธรรมที่สูงมากเพราะเป็นมาตรฐานของพระเจ้าและมีอำนาจสูงสุด
- ฮบ.4.12 พระคัมภีร์มีฤทธิ์อำนาจที่มนุษย์ไม่อาจโต้แย้งได้หรือต่อสู้ได้
- เราต้องยอมรับว่าคนไม่เชื่อย่อมต่อต้านแม้เป็นเรื่องจริงก็ตาม
- เรารู้ว่าพระคัมภีร์มีศิลธรรมที่สูงมากเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะคิดขึ้นมาได้
- เราสามารถยอมรับได้ร้อยเปอร์เซ็นเพราะพระเยซูยอมรับว่าพระคัมภีร์ไม่ผิดพลาด
- เราเห็นว่าหลักคำสอนของคริสเตียนได้รับรากฐานที่มาจากพระคัมภีร์เดิมเป็นหลัก
( โรม 1.1-3 16.26 กจ.17.1-3,11 1คร.15.1-8 )
3.3 การพัฒนาและปรับปรุงแคนนอนหรือมาตรฐานของพระคัมภีร์เดิม
- ทำไมเราต้องพัฒนา เพราะว่าแต่ละยุคสมัยภาษาของมนุษย์จะปรับตามยุคที่ควร
และต้องมีการขัดกลาภาษา เช่น สมัยของ เอสรา (นหม.8.1-8 ) และสมัยของเรา
ในปัจจุบันก็มีการปรับปรุงด้านภาษาและการแปลอยู่เสมอ
- ทำไมเราต้องพัฒนาและปรับปรุงเพราะวัสดุสมัยก่อนไม่ทนทานและแข็งแรงพอ
และไม่สะดวกในการจัดเก็บและพกพาจึงต้องปรับปรุงเสมอและแม้ในสมัย
ปัจจุบันก็เปลี่ยนจากในลานมาเป็นกระดาษและจากกระดาษเป็นแผ่นดิสอื่นๆ
และยังมีการอัดเทปเป็นพระคัมภีร์แบบเสียง แบบภาพประกอบ อักษรแล อื่นๆ
และยังทำเป็นภาษาใบ้เพื่อคนหูหนวกด้วย
- การพัฒนา 3 อย่างของแคนนอน
1. การดลใจโดยพระเจ้า ( 2ปต.1.20-21 2ทธ.3.15-16 )
- เพื่อผู้เชื่อจะมีจิตสำนึกในการยอมรับและไม่ละเมิดโดยตัดหรือเพิ่มเติม
- เพื่อมารจะไม่ใช้เป็นข้ออ้างให้ผู้เชื่อสงสัยและต่อต้านความจริง
2. การยอมรับพระคัมภีร์ว่ามีอำนาจชี้ความถูกต้องสูงสุด
- เพื่อช่วยให้เรามีจุดยืนและรู้ว่าอะไรที่ถูกต้องโดยให้พระคัมภีร์ตัดสิน
- เพื่อช่วยให้ผู้เชื่อไม่ตีความเข้าข้างกลุ่มความเชื่อของตนเอง
- เพื่อช่วยให้ผู้เชื่อไม่ตกเป็นทาสของผู้นำที่บิดเบือนพระคัมภีร์
3. การสะสมการดูแลรักษาพระคัมภีร์
- เพราะมารยังพยายามทำลายพระคัมภีร์
- เพราะพระคัมภีร์ต้องการแปลให้ครบทุกภาษา
- เพราะต้องการอนุรักษ์และปกป้องไว้ให้ชนรุ่นหลังต่อไป
เช่น สมัยก่อนพระเยซูมีการจัดเก็บซ่อนจากพวกโรม คือ ม้วนทะเลตาย
เช่น จดหมายฝากธรรมดาต่อมาเป็นพระคัมภีร์ ( 2ทธ.4.6-15 )
- การแยกข้อเขียนที่ไม่ใช่พระคัมภีร์ หรือ ไม่ผ่านแคนนอนในพระคัมภีร์เดิม
1. ผู้ดูแลเก็บสะสมและรักษาไว้
- คือ คนของพระเจ้า,ผู้รับใช้,ผู้เผยพระวจนะ
( ฉธบ.31.26 1ซมอ.10.25 2พกษ.23.24 อสร.7.26 สภษ.25.1 )
2. ผู้ที่แยกว่าหนังสือใดคือพระคำของพระเจ้า
- คือ ประมุขและพวกปุโรหิต อารักษ์ และผู้เผยพระวจนะ
เพราะมีหนังสือที่ไม่ผ่านแคนนอนมีมากมายด้วย
( ยชว. 10.13 หนังสือยาชาหรือหนังสือสงคราม หรือการรบ )
( กดว.21.14 หนังสือ สงคราม )
( 2พศด. 9.29 นาธันและผู้เผยอื่นๆที่ไม่นับรวมเข้าในพระคัมภีร์)
( ยด. 9 ,14 –16 2 ปต. 2.1-17 )
- แต่พวกคาทอลิกได้เอาหนังสือที่ไม่ผ่านแคนนอนมาเพิ่มเป็น
พระคัมภีร์เลยมีความเชื่อออกนอกหลักคำสอนที่ถูกต้อง
สรุป.... แคนนอน แท้จริงพระเจ้าเองทรงอยู่เบื้องหลังทั้งการดลใจและแยกว่าเล่มไหนผ่านและไม่ผ่าน
.... แม้มนุษย์จะเป็นคนเขียนและคัดลอกแต่ความหมายมาจากพระเจ้าและยังเหมือนเดิม
.... แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนพระเจ้าทรงรักษาไว้และทุกคำต้องสำเร็จ มธ.5.17-19

3.4 ข้อสังเกตเรื่องแคนนอนจากพระคัมภีร์เดิม
1. มีความแตกต่างระหว่างพระคัมภีร์ที่ผ่านแคนนอนและไม่ผ่าน
- แม้สมัยนั้นจะมีหนังสืออื่นๆมากมาย แต่สำหรับชาวยิวจะแยกแยะออกได้เพราะทุกครอบครัวเรียน
และท่องจำพระคัมภีร์เท่านั้น หนังสือเล่มอื่นๆจะไม่ท่องจำเลย
2. มีการยอมรับทันทีโดยไม่สงสัยสำหรับพระคัมภีร์เดิมและหวงแหนมาก
- เช่น กฏหมายโมเสส หรือ หนังสือของโมเสสและมีการแบ่งหมวดหมู่พระคัมภีร์
หมวดพระบัญญัติ,ผู้เผย,สดุดี,กวีนิพนธ์, มธ.24.15 7.12 ยน.1.16-17 ลก.4.21-27 24.27,44
และแม้ปุโรหิตก็เป็นผู้เผยพระวจนะด้วย อศค.2.25 ดนล.1.3-7
3. มีสิ่งที่ซ่อน ( Apokkrippar )
- หนังสือในสมัยพระคัมภีร์เดิมได้มีการแบ่ง
1. Homologomena 34 เล่มยิวยอมรับทันทีและภายหลังแบ่งเป็น 39 เล่ม
2. Aptilegomena การประท้วงต่อต้านไม่ยอมรับทันที
1. เพลงซาโลมอน ..... หาว่าเป็นเรื่องเพศที่ลามก ไม่เหมาะสมเป็นพระคัมภีร์
2. ปัญญาจารย์ ...... 12.23 ซาโลมอนค้นหาความหมายของชีวิตและสัจจะธรรม
3. เอสเธอร์...... เพราะไม่มีคำว่าพระเจ้าเลยแม้แต่คำเดียว
- สาเหตุที่ไม่มี 1. ยิวเป็นทาส 2.ไม่ให้สับสนเรื่องพระเจ้าและรูปเคารพ
3. เพราะผู้เขียนได้เขียนแบบประวัติศาสตร์แต่พระเจ้าอยู่เบื้องหลัง
4. เอเศเคียล ..... เพราะเขาหาว่าไม่เข้ากันกับหนังสือของโมเสส... ปัญหาอยู่ที่ผู้อ่านเอง
5. สุภาษิต...... 26.4-5 บางคนบอกว่าขัดแย้งกันเอง

3.5 แคนนอนในพระคัมภีร์ใหม่
1. วิธีการเลือกสรรพระคัมภีร์ใหม่และสาเหตุการเขียน
- เราต้องมีการคัดเลือกเพราะมีมากจนไม่มีที่จะเขียนได้ ยน.20.30 21.25
- พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกทุกสิ่งให้เรารู้แต่เขียนในสิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้
- เพราะมีลูกาเขียนเพื่ออธิบายสนับสนุนเพิ่มเติมจากคนอื่นที่เขียนแล้ว ลก.1.1-4
- เพราะมีคนที่ขาดความเข้าใจและสับสน 1ธส.5.27 วว.1.3
2. วิธีการสะสมและเก็บรักษา
- จากจดหมายแต่ยอมรับเป็นพระคัมภีร์ที่มีอำนาจ วว.1.11 1คร.14.37
- การส่งผ่าน หรือ ส่งจดหมาย คส.4.16 2ทธ.4.13-
3. วิธีการรวบรวมเป็นพระคัมภีร์และตรวจเล่มที่ผ่านแคนนอน
- พระคัมภีร์ที่ยังไม่ได้ยอมรับทันที
1. ฮีบรู .... เพราะไม่ระบุชื่อผู้เขียน .... แต่ยอมรับว่าพระเจ้าเป็นผู้ให้เขียนแน่นอน
2. ยากอบ ..... เพราะขัดแย้ง รอดโดยการกระทำ ..... แต่ความเชื่อต้องมีผลของการกระทำ
3. 2-3 ยอห์น .... เพราะแตกต่างจาก 1 ยอห์น ..... เพราะเป็นจดหมายส่วนตัวและต่างเพศ
4. 2เปโตร ..... เพราะลีลาการเขียนต่างกัน.....เพราะเล่มแรกสิลวานัสอาจช่วยเขียน 5.13
5. ยูดา ..... เพราะเขียนแนวพระคัมภีร์เดิม...... เพราะเอามาจากหนังสือที่ซ่อนของเอโนค
6. วิวรณ์ ..... เป็นเรื่องโหดร้ายและเข้าใจยาก ..... เพราสะเรื่องอนาคตและผู้เขียนอยู่ในอดีต
- พระคัมภีร์ 27 เล่มได้ผ่านแคนนอน
- เพราะสาวกได้รับการดลใจในการเขียนและถือว่าเป็นพระคัมภีร์ 1คร.14.37
- เพราะเปโตรและสาวกก็ยอมรับจดหมายมีอำนาจเท่าเทียมพระคัมภีร์เดิม 2ปต.16
- เพราะบิดาแห่งคริสตจักรได้ยอมรับและไม่สงสัยและรวมเข้ากับพระคัมภีร์เดิม
- เพราะสอดคล้องและไม่คัดแย้งกับพระคัมภีร์เดิมเลย
- เพราะพระเยซูทรงดลใจและรับรองทั้งกิจการงานและการเขียนด้วย วว.1.10


*** พระพรและคำถามท้ายบทเรียน
- ถ้าไม่มีแคนนอนพระคัมภีร์ของเราจะเป็นอย่างไร
- มั่ว,สับสน,มีมากกว่า 39,หรือ66 เล่ม , มีการเขียนเพิ่มต่อเติม,การทะเลาะกัน, อื่นๆ
- ถ้าเราไม่ยอมรับแคนนอนของพระคัมภีร์จะมีผลอย่างไร
- อื่นๆ
- บทที่ 4 ภาษาที่ใช้ในพระคัมภีร์
*** ทำไมพระเจ้าต้องใช้ภาษาของมนุษย์ เพื่อมนุษย์จะได้เข้าใจและไม่ลืมและความหมายไม่
คลาดเคลื่อนและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาจดจำบัทึกและจัดเก็บรักษา
- ภาษาช่วยพัฒนาชีวิตของมนุษย์ เช่น สมัยสุโขทัยที่ไทยเริ่มมีภาษาใช้และเจริญก้าวหน้า
- เพื่อ ช่วยในการประกาศสื่อสารและทุกๆชนชาติสามารถเข้าใจได้
*** ทำไมพระเจ้าต้องเลือกใช้ภาษาในการเขียนพระคัมภีร์
- เพราะภาษาที่พระคัมภีร์ใช้ตามยุคสมัยและแต่ละภาษาก็มีสิ่งที่พิเศษแตกต่างกัน
เช่น ภาษาฮีบรูเป็นภาษาที่จดจำง่ายและเมื่อพูดสามารถมองเห็นภาพชัดเจน อื่นๆ
*** พระคัมภีร์ใช้ภาษาอะไรบ้าง ( ทุกตอน,ทุกคำที่พระเจ้าใช้ 2ปต.1.20-21 2ทธ.3.16-17 )
1. ภาษา ฮีบรู 2. ภาษา อาลามิก 3. ภาษากรีก 4. ภาษา ลาติน 5. อังกฤษ อื่นๆ

1.1 ภาษาฮีบรูมีลักษณะ คือ สามารถมองเห็นภาพเมื่อได้ฟังและจำได้ง่าย ดีมากที่ใช้สื่อสาร
ทางจิตใจได้ลึกซึ้งเพราะความหมายและคำศัพท์ที่ใช้และจัดว่าเป็นภาษาที่งดงามเมื่อใช้
เป็นบทกลอนกวีหรือเพลง และด้านความหมายแน่นอนและชัดเจน
และภาษาอารัม อาจเป็นอาหรับ และต่อมาภาษาฮีบรูเป็นอาลาบิค
1.2 ภาษาอาลามิกที่เริ่มใช้เป็นทางการสมัยหลังจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน
เป็นภาษากลางที่ใช้กับเชลยและคนทั่วไป และมีภาษาของแต่ละประเทศด้วย
เช่น สมัยดาเนียล 1.4 3.7 5.24-28 2พกษ.18.26
1.3 ภาษากรีก คือ คำพูดที่ชวนให้คิดและเมื่อพูดต้องมีตัวอย่างอธิบาย และในพระคัมภีร์ใหม่
เขียนเป็นภาษากรีกเพราะกรีกมีอิทธิพลมากในเวลานั้นและตลอดประวัติศาสตร์ของ
คริสตจักรจนถึงกรุงโรมและจากการปฏิวัติของมาร์ตินลูเทอร์เริ่มมีการแปลเป็นภาษา
เยอรมันและต่อมาเป็นภาษาอังกฤษและจนกลายเป็นจุดที่แปลไปเกือบทุกภาษาแต่เมื่อ
แปลเป็นภาษาอื่นๆจะต้องเอาภาษาฮีบรูและกรีกมาช่วยตรวจสอบควบคู่กันไปด้วย
** ภาษากรีกสมัยนั้นถือว่าเป็นภาษาของคนฉลาดและต้องใช้ในการทำเอกสารติดต่อ
สื่อสารการงานและการนับการคำนวนการใช้สกุลเงินอื่นๆ และเป็นภาษาของพวก
นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์
1.4 ภาษาลาติน อาจเป็นภาษาที่แยกออกจากกรีกแต่มีส่วนคล้ายใกล้เคียงกัน
และยังมีการใช้ภาษาโรมันและลาตินด้วยแม้ในอดีตและปัจจุบันนี้ด้วย เช่น คำของ
วิทยาศาสตร์และตัวเลขนาฬิกา และภาษาที่ใช้ในคนิตศาสตร์ อื่นๆ
1.5 ภาษาอังกฤษที่เป็นภาษาสากลของทั่วโลกที่พระเจ้าทรงใช้ในปัจจุบันนี้
เช่นการแปลเป็นภาษาอื่นๆ และการที่ประเทศนั้นไม่มีภาษาเขียนหรือเผ่าอื่นๆก็ใช้
ภาษาอังกฤษเป็นตัวเขียนแทน เช่น อาข่า,ม้ง,ฟิลิปปินส์,ลาฮู่,อื่นๆ

สรุป.......... พระเจ้าทรงใช้ภาษาเพื่อให้มนุษย์เข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าและความรอด
......... ภาษาและคำที่ใช้มาจากพระเจ้าแม้มนุษย์เป็นคนเขียนโดยพระวิญญาณ 2ปต.1.20-21
........ ภาษาสมัยของพระคัมภีร์เน้นที่ความหมายสื่อความเข้าใจ กจ.2.1-13 1คร.14.10
....... พระพร, คำถามท้ายบทเรียน , การประยุกต์ใช้,
คำถามท้ายบทเรียน
1. พระคัมภีร์มีอิทธิพลต่อชีวิตคุณอย่างไร
2. ครั้งแรกที่คุณเห็นพระคัมภีร์คุณคิดและเข้าใจอย่างไร
3.เมื่อคุณได้อ่านและได้ยินพระคัมภีร์ครั้งแรกคุณรู้สึกอย่างไร
4. ตอนนี้ต้นฉบับอยู่ที่ไหน
5. ทำไมต้นฉบับหายไป
6. ถ้าเราพบต้นฉบับเราจะรู้ได้อย่างไร
7. เมื่อพบต้นฉบับจะมีผลดีหรือผลเสีย
8. พระคัมภีร์มีความผิดพลาดหรือไม่
9. ถ้าเราไม่มีพระคัมภีร์จะเกิดอะไรขึ้น
10. ตอนนี้มารพยายามทำลายพระคัมภีร์อย่างไร
11. เรามีส่วนที่จะดูแลรักษาพระคัมภีร์อย่างไร
- เป็นผู้อารักขาที่ดี 1คร.4.1-4
- มอบคำสอนกับคนที่สัตย์ซื่อ 2ทธ2.2
- อย่าตัดอย่าเพิ่มเติมพระคัมภีร์ วว.22.18-19 - เราต้องอ่าน,จดจำ,ศึกษาเพราอาจถูกทำลายจากมาร,

ไม่มีความคิดเห็น:

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
พวกเราเป็นกลุ่มคริสตจักรท่มีความเชื่อตามหลักของพระคัมภีร์อย่างเคร่งครัด เราเชื่อว่า เรารอดโดยพระคุณพระเจ้า และเชื่อในตรีเอกานุภาพ และพระคัมภีร์66เล่มเป็นการดลใจจากพระเจ้าและไม่มีความผิดพลาดของต้นฉบับ และพระวจนะของพระเจ้าเป็นแหล่งชีวิตและความจริง เป็นหนังสือท่ช่วยในการดำเนินชีวิตประจำวัน เราเชื่อว่าเมื่อเราเชื่อในพระองค์เราได้รับองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ในทันใดนั้น เพราะทรงประทับตราเรา ( เอเฟซัส 1:13-14)