- คำนำ วิชาเบื้องหลังพระคัมภีร์
หนังสื่อที่ขายดีที่สุดในโลกคือพระคัมภีร์ หนังสื่อที่แปลมากที่สุดในโลกคือพระคัมภีร์ หนังสื่อที่เปลี่ยนแปลงชีวิตมากที่สุดคือพระคัมภีร์ หนังสือไม่มีใครทำลายได้คือพระคัมภีร์และหนังสือที่มีอำนาจมากที่สุดคือพระคัมภีร์ฮีบรู 4.12 เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย อาวุธที่ดีที่สุดของโลกคือพระคัมภีร์ ถ้าไม่มีพระคัมภีร์เราไม่รู้เลยว่าอะไรคือความจริงและพระคัมภีร์เป็นอุปกรณ์ที่พระเจ้าทรงใช้ให้เป็นสื่อเพื่อการติดต่อสื่อสารอธิบายให้มนุษย์ทุกคนได้รู้ความจริง ฮีบรู 1.1-3ในโบราณกาลพระเจ้าได้ตรัสด้วยวิธีต่างๆมากมายแก่บรรพบุรุษของเราทางพวกผู้เผยพระวจนะ 2แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลายทางพระบุตร ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก พระองค์ได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลโดยพระบุตร 3พระบุตรทรงเป็นแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์ และทรงผดุงโลกไว้ด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ เมื่อพระองค์ได้ทรงชำระบาปแล้ว ก็ได้ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าเบื้องบน
เมื่อเราได้รู้เบื้องหลังพระคัมภีร์เราก็จะรู้ว่าพระคัมภีร์ไม่ใช่หนังสือธรรมดาแต่เป็นหนังสือที่มหัศจรรย์
- บทที่ 1 ประวัติความเป็นมาของพระคัมภีร์
- เมื่อก่อนนั้นพระคัมภีร์เป็นเรื่องที่พ่อแม่ได้เล่าและสอนลูกหลานสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยอาดัมจนถึงโนอาห์และได้เป้นเรื่องที่ชัดเจนขึ้นในสมัยของอับราฮัมจนถึงสมัยโยเซฟและต่อมาถึงสมัยของโมเสสที่พระเจ้าได้ใช้ให้เป็นผู้ที่เขียนเป็นเรื่องราวเพราะเป็นแผนการของพระเจ้าที่จะให้เป็นภาพและติดต่อสื่สารกับชนชาติของพระองค์และเพื่อมวลทุกคนทั่วโลกจนถึงปัจจุบันนี้และพระเจ้ายังทรงใช้พระคัมภีร์เพื่อสำแดงความเข้าใจเรื่องพระเจ้า
- เมื่อเดิมนั้นพระคัมภีร์เรียกว่าพระบัญญัติและกฏหมายของพระเจ้าที่ให้กับโมเสสเพื่ออิสราเอลพระคัมภีร์ในสมัยก่อนนั้นทำจากหญ้าชนิดหนึ่งในประเทศอียิปต์ที่คล้ายๆกับต้นกกในประเทศไทยเขาเรียกว่า ปาปิรัส เขานำมาทำเป็นกระดาษเพื่อเขียนพระคัมภีร์ในสมัยนั้นเพราะง่ายและสะดวกแต่พระบัญญัติสมัยโมเสสนั้นเป็นศิลา หรือหินที่สกัด และต่อมาเป็นกระดาษและต่อมาใช้แผ่นหนัง และต่อมาก็ใช้ดินเหนียวแล้วแต่ว่าเหมาะสมในการใช้ และต่อมาเราเรียกว่าหนัวสือม้วนที่เรานำมาใช้เป็นพระคัมภีร์ในปัจจุบันนี้
- เมื่อเดิมนั้นมีพระคัมภีร์เดิมที่ชาวยิวได้เก็บรักษาและสั่งสอนอบรมลูกหลานและเก็บไว้ในพระวิหารและโมเสสได้วางแบบอย่างในการดูแลพระคัมภีร์ คือ ต้องมีการคัดลอกทุกๆ 7 ปี และในพระคัมภีร์นั้นมีการแบ่งแบบชาวยิวง่ายๆก่อนและจึงมาแบ่งเป็นระบบในภายหลังและมีทั้งหมด 39 เล่ม ซึ่งแต่ก่อนมี 34 เล่ม เพราะชาวยิวรวม 1-2 ซามูเอลและ 1-2 พงศาวดาร และพงศ์กษัตริย์
- เมื่อถึงสมัยของพระเยซูพระคัมภีร์ต้นฉบับยังอยู่หรือไม่เราไม่ทราบและไม่รู้ว่าฉบับไหนเป็นต้นฉบับเพราะของที่เนบูคัดเนซาขนไปก็ได้นำกลับคืนมายังเยรูซาเล็มและเอสราได้ปฏิรูปและมีการแปลและแบ่งพระคัมภีร์อย่างเป็นระบบจนถึงยุคเงียบ 400 ปี ก่อนพระเยซูเกิดและชาวยิวในสมัยของพระเยซูก็ไม่สงสัยต้นฉบับของพระคัมภีร์เดิมเลยและพระเยซูเองก็ยอมรับและยกย่องพระคัมภีร์ที่เป็นหนังสือม้วนในสมัยนั้น และสมัยนั้นก็มีการคัดลอกเพื่อใช้อ่านตามบ้านตามธรรมศาลาเพื่อใช้นมัสการศึกษาเล่าเรียนและเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ชาวยิวที่อยู่ต่างถิ่นและต่างแดนด้วย
- แต่สมัยของพระเยซูมีการต่อเติมพระคัมภีร์โดยพวกฟารีสีและธรรมจารย์เพื่อประโยชน์ของพวกเขาเองในการใช้อำนาจบีบบังคับประชาชนโดยใช้คำสอนจากบรรพบุรุษและธรรมเนียมต่างและเพิ่มกฏพิธีกรรมอื่นๆด้วย พระเยซูได้ตำหนิกลุ่มคนพวกนี้อย่างมากสาเหตุเพราะไม่มีมาตรฐานหรือบรรทัดฐาน หรือ แคนนอนที่ชี้วัดในสมัยนั้น แต่ แผนการของพระเจ้าและจุดประสงค์ของพระคัมภีร์นั้นยังเหมือนเดิมจนสำเร็จการไถ่บาปทางพระเยซูคริสต์
- ปัจจุบันนี้เราไม่รู้ว่าต้นฉบับของพระคัมภีร์อยู่ที่ไหน และแม้เราจะพบหนังสือมว้นที่ทะเลตายแล้วก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นต้นฉบับหรือไม่ แต่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ต้นฉบับหายไป แต่ถ้าเรามีต้นฉบับในปัจจุบันนี้ก็จะดีมากเพื่อจะทำให้บางข้อนั้นชัดเจนขึ้นและไม่เถียงกัน
- คำถามและข้อคิดในบทเรียน
/// ถ้าเราพบต้นฉบับในปัจจุบันนี้จะเกิดผลดีหรือผลเสีย
- ผลดีเพื่อจะมาเทียบดูว่าข้อไหนที่ยังไม่ชัดเจนจะได้กระจ่าง
- ผลเสีย หลายคนจะเอาไปบูชา และแย่งกันครอบครองและจะนองเลือดแน่ๆ
- บทที่ 2 การดลใจของพระคัมภีร์
- ในการดลใจของพระเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อพระคัมภีร์เพราะเมื่อตัดการดลใจออกไปพระคัมภีร์ก็เหมือนกระดาษปล่าวหรือไม่ต่างจากหนังสืออื่นๆทั่วไป
- ในเรื่องการดลใจจะมีเรื่อง การส่งผ่าน, การดลใจ,การที่พระเจ้าติดต่อกับมนุษย์ ( 2 ทธ.3.16 2ปต.1.20-21 ฮบ.1.1-3 โยบ 33.14-16 )
- พระเจ้าทรงตรัสกับมนุษย์หลายๆวิธีและทุกๆครั้งพระเจ้าเองเป็นผู้สำแดงเรียกเปิดเผยให้กับมนุษย์ส่วนมนุษย์เป็นเพียงผู้รับสารพระเจ้าเป็นผู้ส่งสารและเปิดเผยให้ทราบมนุษย์เป็นผู้บันทึกและถ่ายทอดข่าวสารของพระเจ้าและมนุษย์นั้นได้บันทึกตามจุดประสงค์ของพระเจ้าซึ่งเมื่อก่อนพระเจ้าทรงใช้พวกผู้เผยพระวจนะ ในการนำข่าวสารของพระเจ้าไปบอก
- ความหมายเรื่องการดลใจ
การดลใจแตกต่างจากแรงบันดาลใจ ต่างจากจินตนาการ ต่างจากการเชื่อเรื่องร่างทรง เพราะ การดลใจนั้นเป็นการสำแดงพิเศษจากพระเจ้าเพื่อเปิดเผยพระประสงค์ของพระเจ้าตามแผนการต่างๆและการดลใจพระเจ้าเป็นฝ่ายเดียวที่ทรงเปิดเผยถ้าไม่ทรงตรัสพวกผู้เผยพระวจนะจะ
บอกอะไรไม่ได้ ( 1ซมอ. 3.1,7,19-21 ) และการดลใจพระเจ้าทรงให้ผู้เขียนได้ใช้สไตล์หรือลีลาของตนเองตามบุคลิกลักษณะของคนนั้นๆเพื่อให้เป็นตามธรรมชาติและทำให้ผู้เชื่อปัจจุบันนี้ได้แกะรอยว่าใครเป็นผู้เขียนแม้ไม่ได้ปรากฏชื่อในจดหมายต่างๆในพระคัมภีร์ใหม่
การดลใจสามารถยอมรับได้โดยไม่มีความผิดพลาดเลยในส่วนของพระเจ้าแต่ส่วนของมนุษย์ย่อมมีความผิดพลาดบ้างในเรื่องวัสดุความแม่นยำ เช่น จำนวน ( 1ซมอ.10.15-19 1พศด.19.1-19 )
แต่ไม่มีผลอะไรเรื่องจำนวน และชาวยิวก็ยอมรับได้ และไม่ใช่เป็นเรื่องทางการ เช่น หนังสือพิมพ์รายงานข่าวเรื่องเดียวกันแต่บอกจำนวนไม่เท่ากัน น้อยไป มากไป อื่นๆ
การดลใจเรายอมรับได้โดยผู้เขียนสามารถรู้ในสิ่งที่คนมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถรู้ได้เลย เช่นโยบได้บอกว่า โลกแขวนไว้ในที่ว่างเปล่าหรือในหว้งอาวกาศ 26.7 และเรื่องโลกกลม อสย.40.22 เรื่องราวในอนาคต และเรื่อง อื่นๆ
การดลใจเป็นงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ( นหม.9.20 ยน.14.26 ลก.24.27,44-45 )
ผู้เชื่อได้ยอมรับอย่างสิ้นสุดใจว่าพระวิญญาณทรงดลใจ ( 2ทธ.3.16 2ปต.1.20-21 ) พระเจ้าทรงดลใจทุกข้อและทุกคำที่ใช้ในพระคัมภีร์
*** ข้อคิดและคำถามท้ายบทเรียน
- การดลใจแตกต่างจากแรงบันดาลใจอย่างไร
- อะไรที่พิสูจน์ว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจ
- ทำไมพระเจ้าต้องใช้วิธีดลใจพระคัมภีร์
- การดลใจแตกต่างจากนิมิตหรือความฝันหรือไม่และแตกต่างอย่างไร
- พระคัมภีร์ที่เรามีปัจจุบันนี้ได้รับการดลใจหรือไม่
- บทที่ 3 มาตรฐานและบรรทัดฐานหรือ แคนนอนของพระคัมภีร์
- อะไรเป็นมาตรฐานของพระคัมภีร์ 66 เล่ม
3.1 ปัญหาเรื่องการยอมรับแคนนอนหรือมาตรฐานของพระคัมภีร์เดิม
- พระคัมภีร์เดิมไม่มีปัญหาเรื่องการยอมรับแคนนอนเพราะชาวยิวยอมรับและยกย่อง
- แต่พระคัมภีร์บางเล่มมีคนสมัยปัจจุบันโต้งแย้งแต่ภายหลังก็ยอมรับได้
คือ พระธรรมเอสเธอ์เพราะไม่ปรากฏคำว่าพระเจ้าเลยแม้แต่คำเดียวแต่ยอมรับได้
เพราะเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าทรงอยู่เบื้องหลังในทุกๆเหตุการณ์
คือ พระธรรมเพลงซาโลมอนเพราะบางคนคิดว่าเป็นเรื่องลามกเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์
แต่ยอมรับได้เพราะเรื่องเพศเป็นเรื่องความบริสุทธิ์ไม่ใช่เป็นความบาป
และเป็นการแสดงความรักต่อเพศตรงข้ามในทางของความบริสุทธิ์สามีภรรยา
- แต่การโต้แย้งแทบไม่มีเลยเพราะพระเยซูเองทรงยอมรับไม่มีสงสัยหรือผิดพลาดเลย
- และพวกอัครทูตถึงท่านยอห์นเป็นสาวกคนสุดท้ายและบิดาแห่งคริสตจักรได้ยอมรับ
3.2 อะไรคือมาตรฐานของแคนนอนที่เราสามารถยอมรับได้
1. ผู้ที่กำหนดแคนนอน หรือ ตั้งแคนนอนขึ้นมา ( ใครเป็นผู้กำหนดแคนนอน )
ก. พระเจ้าเองทรงเป็นผู้ตั้งและกำหนดแคนนอนเพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ดลใจ
ข. ความเป็นจริงที่เขียนไว้และคำพยากรณ์เป็นผู้กำหนดแคนนอน
ค. บิดาแห่งคริสตจักรที่ตรวจสอบยอมรับและเก็บสะสมรักษาไว้อย่างดี
ง. อำนาจของพระคัมภีร์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตจิตใจของมนุษย์ได้จริง
2. การยอมรับแคนนอนทุกส่วนทุกคำทุกเรื่องในพระคัมภีร์ ( จะยอมรับได้ทั้งหมดหรือไม่)
ก. เพราะบางคำพูดไม่ใช่เป็นคำพูดของพระเจ้า
เช่น คำพูดของมารซาตาน เราถึงว่าเป็นพระคัมภีร์เพราะเป็นส่วนของพระคัมภีร์
เพื่อให้พระตัมภีร์สมบูรณ์และชัดเจน เพราะต้องการเปิดเผยทุกแง่มุมชีวิต
เช่น หนังก็มาบทพระเอกนางเอกตัวโกงเพื่อเนื้อเรื่องจะสมบูรณ์และมีเหตุผล
( 2ปต.1.20-21 )
ข. เพราะบางเล่มเป็นละครสดุดีร้อยแก้วร้อยกรองและกลอนสุภาษิตและเพลง
แต่เป็นวรรณกรรมที่พระเจ้าทรงดลใจเป็นพระคัมภีร์ ลก.24.27,44 2ทธ3.16
ค. เพราะบางครั้งเป็นเรื่องการอัศจรรย์เหนือธรรมชาติ
แต่เราไม่สามารถตัดออกได้เพราะเป็นเหตุการณ์จริงที่พระเจ้าสำแดงผ่านเพื่อเป็น
เหมือนลายเซ็นที่พระเจ้ารับรองการสำแดงของพระองค์แม้สมัยของพระเยซูเอง
และพวกสากก็ตามเป็นสัญลักษณ์ว่าพระเจ้าทรงอยู่เบื้องหลัง กจ.14.3 มก.16.20
ง. เพราะบางคนแย้งว่าเป็นเหมือนนิทานที่เชื่อถือไม่ได้
แต่พระคัมภีร์ไม่ใช่นิทานเหมือนชาวโลกเข้าใจแต่เป็นเรื่องประวัติศาสตร์จริง
ที่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้และจิตสำนึกของมนุษย์ก็แยกแยะออกว่าอะไรคือนิทาน
และพระคัมภีร์เป็นการสำแดงจากพระเจ้าฝ่ายเดียวมนุษย์ไม่สามารถแต่งขึ้นเองได้
3. เพราะแคนนอนนั้นมีศิลธรรมที่สูงมากเพราะเป็นมาตรฐานของพระเจ้าและมีอำนาจสูงสุด
- ฮบ.4.12 พระคัมภีร์มีฤทธิ์อำนาจที่มนุษย์ไม่อาจโต้แย้งได้หรือต่อสู้ได้
- เราต้องยอมรับว่าคนไม่เชื่อย่อมต่อต้านแม้เป็นเรื่องจริงก็ตาม
- เรารู้ว่าพระคัมภีร์มีศิลธรรมที่สูงมากเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะคิดขึ้นมาได้
- เราสามารถยอมรับได้ร้อยเปอร์เซ็นเพราะพระเยซูยอมรับว่าพระคัมภีร์ไม่ผิดพลาด
- เราเห็นว่าหลักคำสอนของคริสเตียนได้รับรากฐานที่มาจากพระคัมภีร์เดิมเป็นหลัก
( โรม 1.1-3 16.26 กจ.17.1-3,11 1คร.15.1-8 )
3.3 การพัฒนาและปรับปรุงแคนนอนหรือมาตรฐานของพระคัมภีร์เดิม
- ทำไมเราต้องพัฒนา เพราะว่าแต่ละยุคสมัยภาษาของมนุษย์จะปรับตามยุคที่ควร
และต้องมีการขัดกลาภาษา เช่น สมัยของ เอสรา (นหม.8.1-8 ) และสมัยของเรา
ในปัจจุบันก็มีการปรับปรุงด้านภาษาและการแปลอยู่เสมอ
- ทำไมเราต้องพัฒนาและปรับปรุงเพราะวัสดุสมัยก่อนไม่ทนทานและแข็งแรงพอ
และไม่สะดวกในการจัดเก็บและพกพาจึงต้องปรับปรุงเสมอและแม้ในสมัย
ปัจจุบันก็เปลี่ยนจากในลานมาเป็นกระดาษและจากกระดาษเป็นแผ่นดิสอื่นๆ
และยังมีการอัดเทปเป็นพระคัมภีร์แบบเสียง แบบภาพประกอบ อักษรแล อื่นๆ
และยังทำเป็นภาษาใบ้เพื่อคนหูหนวกด้วย
- การพัฒนา 3 อย่างของแคนนอน
1. การดลใจโดยพระเจ้า ( 2ปต.1.20-21 2ทธ.3.15-16 )
- เพื่อผู้เชื่อจะมีจิตสำนึกในการยอมรับและไม่ละเมิดโดยตัดหรือเพิ่มเติม
- เพื่อมารจะไม่ใช้เป็นข้ออ้างให้ผู้เชื่อสงสัยและต่อต้านความจริง
2. การยอมรับพระคัมภีร์ว่ามีอำนาจชี้ความถูกต้องสูงสุด
- เพื่อช่วยให้เรามีจุดยืนและรู้ว่าอะไรที่ถูกต้องโดยให้พระคัมภีร์ตัดสิน
- เพื่อช่วยให้ผู้เชื่อไม่ตีความเข้าข้างกลุ่มความเชื่อของตนเอง
- เพื่อช่วยให้ผู้เชื่อไม่ตกเป็นทาสของผู้นำที่บิดเบือนพระคัมภีร์
3. การสะสมการดูแลรักษาพระคัมภีร์
- เพราะมารยังพยายามทำลายพระคัมภีร์
- เพราะพระคัมภีร์ต้องการแปลให้ครบทุกภาษา
- เพราะต้องการอนุรักษ์และปกป้องไว้ให้ชนรุ่นหลังต่อไป
เช่น สมัยก่อนพระเยซูมีการจัดเก็บซ่อนจากพวกโรม คือ ม้วนทะเลตาย
เช่น จดหมายฝากธรรมดาต่อมาเป็นพระคัมภีร์ ( 2ทธ.4.6-15 )
- การแยกข้อเขียนที่ไม่ใช่พระคัมภีร์ หรือ ไม่ผ่านแคนนอนในพระคัมภีร์เดิม
1. ผู้ดูแลเก็บสะสมและรักษาไว้
- คือ คนของพระเจ้า,ผู้รับใช้,ผู้เผยพระวจนะ
( ฉธบ.31.26 1ซมอ.10.25 2พกษ.23.24 อสร.7.26 สภษ.25.1 )
2. ผู้ที่แยกว่าหนังสือใดคือพระคำของพระเจ้า
- คือ ประมุขและพวกปุโรหิต อารักษ์ และผู้เผยพระวจนะ
เพราะมีหนังสือที่ไม่ผ่านแคนนอนมีมากมายด้วย
( ยชว. 10.13 หนังสือยาชาหรือหนังสือสงคราม หรือการรบ )
( กดว.21.14 หนังสือ สงคราม )
( 2พศด. 9.29 นาธันและผู้เผยอื่นๆที่ไม่นับรวมเข้าในพระคัมภีร์)
( ยด. 9 ,14 –16 2 ปต. 2.1-17 )
- แต่พวกคาทอลิกได้เอาหนังสือที่ไม่ผ่านแคนนอนมาเพิ่มเป็น
พระคัมภีร์เลยมีความเชื่อออกนอกหลักคำสอนที่ถูกต้อง
สรุป.... แคนนอน แท้จริงพระเจ้าเองทรงอยู่เบื้องหลังทั้งการดลใจและแยกว่าเล่มไหนผ่านและไม่ผ่าน
.... แม้มนุษย์จะเป็นคนเขียนและคัดลอกแต่ความหมายมาจากพระเจ้าและยังเหมือนเดิม
.... แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนพระเจ้าทรงรักษาไว้และทุกคำต้องสำเร็จ มธ.5.17-19
3.4 ข้อสังเกตเรื่องแคนนอนจากพระคัมภีร์เดิม
1. มีความแตกต่างระหว่างพระคัมภีร์ที่ผ่านแคนนอนและไม่ผ่าน
- แม้สมัยนั้นจะมีหนังสืออื่นๆมากมาย แต่สำหรับชาวยิวจะแยกแยะออกได้เพราะทุกครอบครัวเรียน
และท่องจำพระคัมภีร์เท่านั้น หนังสือเล่มอื่นๆจะไม่ท่องจำเลย
2. มีการยอมรับทันทีโดยไม่สงสัยสำหรับพระคัมภีร์เดิมและหวงแหนมาก
- เช่น กฏหมายโมเสส หรือ หนังสือของโมเสสและมีการแบ่งหมวดหมู่พระคัมภีร์
หมวดพระบัญญัติ,ผู้เผย,สดุดี,กวีนิพนธ์, มธ.24.15 7.12 ยน.1.16-17 ลก.4.21-27 24.27,44
และแม้ปุโรหิตก็เป็นผู้เผยพระวจนะด้วย อศค.2.25 ดนล.1.3-7
3. มีสิ่งที่ซ่อน ( Apokkrippar )
- หนังสือในสมัยพระคัมภีร์เดิมได้มีการแบ่ง
1. Homologomena 34 เล่มยิวยอมรับทันทีและภายหลังแบ่งเป็น 39 เล่ม
2. Aptilegomena การประท้วงต่อต้านไม่ยอมรับทันที
1. เพลงซาโลมอน ..... หาว่าเป็นเรื่องเพศที่ลามก ไม่เหมาะสมเป็นพระคัมภีร์
2. ปัญญาจารย์ ...... 12.23 ซาโลมอนค้นหาความหมายของชีวิตและสัจจะธรรม
3. เอสเธอร์...... เพราะไม่มีคำว่าพระเจ้าเลยแม้แต่คำเดียว
- สาเหตุที่ไม่มี 1. ยิวเป็นทาส 2.ไม่ให้สับสนเรื่องพระเจ้าและรูปเคารพ
3. เพราะผู้เขียนได้เขียนแบบประวัติศาสตร์แต่พระเจ้าอยู่เบื้องหลัง
4. เอเศเคียล ..... เพราะเขาหาว่าไม่เข้ากันกับหนังสือของโมเสส... ปัญหาอยู่ที่ผู้อ่านเอง
5. สุภาษิต...... 26.4-5 บางคนบอกว่าขัดแย้งกันเอง
3.5 แคนนอนในพระคัมภีร์ใหม่
1. วิธีการเลือกสรรพระคัมภีร์ใหม่และสาเหตุการเขียน
- เราต้องมีการคัดเลือกเพราะมีมากจนไม่มีที่จะเขียนได้ ยน.20.30 21.25
- พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกทุกสิ่งให้เรารู้แต่เขียนในสิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้
- เพราะมีลูกาเขียนเพื่ออธิบายสนับสนุนเพิ่มเติมจากคนอื่นที่เขียนแล้ว ลก.1.1-4
- เพราะมีคนที่ขาดความเข้าใจและสับสน 1ธส.5.27 วว.1.3
2. วิธีการสะสมและเก็บรักษา
- จากจดหมายแต่ยอมรับเป็นพระคัมภีร์ที่มีอำนาจ วว.1.11 1คร.14.37
- การส่งผ่าน หรือ ส่งจดหมาย คส.4.16 2ทธ.4.13-
3. วิธีการรวบรวมเป็นพระคัมภีร์และตรวจเล่มที่ผ่านแคนนอน
- พระคัมภีร์ที่ยังไม่ได้ยอมรับทันที
1. ฮีบรู .... เพราะไม่ระบุชื่อผู้เขียน .... แต่ยอมรับว่าพระเจ้าเป็นผู้ให้เขียนแน่นอน
2. ยากอบ ..... เพราะขัดแย้ง รอดโดยการกระทำ ..... แต่ความเชื่อต้องมีผลของการกระทำ
3. 2-3 ยอห์น .... เพราะแตกต่างจาก 1 ยอห์น ..... เพราะเป็นจดหมายส่วนตัวและต่างเพศ
4. 2เปโตร ..... เพราะลีลาการเขียนต่างกัน.....เพราะเล่มแรกสิลวานัสอาจช่วยเขียน 5.13
5. ยูดา ..... เพราะเขียนแนวพระคัมภีร์เดิม...... เพราะเอามาจากหนังสือที่ซ่อนของเอโนค
6. วิวรณ์ ..... เป็นเรื่องโหดร้ายและเข้าใจยาก ..... เพราสะเรื่องอนาคตและผู้เขียนอยู่ในอดีต
- พระคัมภีร์ 27 เล่มได้ผ่านแคนนอน
- เพราะสาวกได้รับการดลใจในการเขียนและถือว่าเป็นพระคัมภีร์ 1คร.14.37
- เพราะเปโตรและสาวกก็ยอมรับจดหมายมีอำนาจเท่าเทียมพระคัมภีร์เดิม 2ปต.16
- เพราะบิดาแห่งคริสตจักรได้ยอมรับและไม่สงสัยและรวมเข้ากับพระคัมภีร์เดิม
- เพราะสอดคล้องและไม่คัดแย้งกับพระคัมภีร์เดิมเลย
- เพราะพระเยซูทรงดลใจและรับรองทั้งกิจการงานและการเขียนด้วย วว.1.10
*** พระพรและคำถามท้ายบทเรียน
- ถ้าไม่มีแคนนอนพระคัมภีร์ของเราจะเป็นอย่างไร
- มั่ว,สับสน,มีมากกว่า 39,หรือ66 เล่ม , มีการเขียนเพิ่มต่อเติม,การทะเลาะกัน, อื่นๆ
- ถ้าเราไม่ยอมรับแคนนอนของพระคัมภีร์จะมีผลอย่างไร
- อื่นๆ
- บทที่ 4 ภาษาที่ใช้ในพระคัมภีร์
*** ทำไมพระเจ้าต้องใช้ภาษาของมนุษย์ เพื่อมนุษย์จะได้เข้าใจและไม่ลืมและความหมายไม่
คลาดเคลื่อนและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาจดจำบัทึกและจัดเก็บรักษา
- ภาษาช่วยพัฒนาชีวิตของมนุษย์ เช่น สมัยสุโขทัยที่ไทยเริ่มมีภาษาใช้และเจริญก้าวหน้า
- เพื่อ ช่วยในการประกาศสื่อสารและทุกๆชนชาติสามารถเข้าใจได้
*** ทำไมพระเจ้าต้องเลือกใช้ภาษาในการเขียนพระคัมภีร์
- เพราะภาษาที่พระคัมภีร์ใช้ตามยุคสมัยและแต่ละภาษาก็มีสิ่งที่พิเศษแตกต่างกัน
เช่น ภาษาฮีบรูเป็นภาษาที่จดจำง่ายและเมื่อพูดสามารถมองเห็นภาพชัดเจน อื่นๆ
*** พระคัมภีร์ใช้ภาษาอะไรบ้าง ( ทุกตอน,ทุกคำที่พระเจ้าใช้ 2ปต.1.20-21 2ทธ.3.16-17 )
1. ภาษา ฮีบรู 2. ภาษา อาลามิก 3. ภาษากรีก 4. ภาษา ลาติน 5. อังกฤษ อื่นๆ
1.1 ภาษาฮีบรูมีลักษณะ คือ สามารถมองเห็นภาพเมื่อได้ฟังและจำได้ง่าย ดีมากที่ใช้สื่อสาร
ทางจิตใจได้ลึกซึ้งเพราะความหมายและคำศัพท์ที่ใช้และจัดว่าเป็นภาษาที่งดงามเมื่อใช้
เป็นบทกลอนกวีหรือเพลง และด้านความหมายแน่นอนและชัดเจน
และภาษาอารัม อาจเป็นอาหรับ และต่อมาภาษาฮีบรูเป็นอาลาบิค
1.2 ภาษาอาลามิกที่เริ่มใช้เป็นทางการสมัยหลังจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน
เป็นภาษากลางที่ใช้กับเชลยและคนทั่วไป และมีภาษาของแต่ละประเทศด้วย
เช่น สมัยดาเนียล 1.4 3.7 5.24-28 2พกษ.18.26
1.3 ภาษากรีก คือ คำพูดที่ชวนให้คิดและเมื่อพูดต้องมีตัวอย่างอธิบาย และในพระคัมภีร์ใหม่
เขียนเป็นภาษากรีกเพราะกรีกมีอิทธิพลมากในเวลานั้นและตลอดประวัติศาสตร์ของ
คริสตจักรจนถึงกรุงโรมและจากการปฏิวัติของมาร์ตินลูเทอร์เริ่มมีการแปลเป็นภาษา
เยอรมันและต่อมาเป็นภาษาอังกฤษและจนกลายเป็นจุดที่แปลไปเกือบทุกภาษาแต่เมื่อ
แปลเป็นภาษาอื่นๆจะต้องเอาภาษาฮีบรูและกรีกมาช่วยตรวจสอบควบคู่กันไปด้วย
** ภาษากรีกสมัยนั้นถือว่าเป็นภาษาของคนฉลาดและต้องใช้ในการทำเอกสารติดต่อ
สื่อสารการงานและการนับการคำนวนการใช้สกุลเงินอื่นๆ และเป็นภาษาของพวก
นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์
1.4 ภาษาลาติน อาจเป็นภาษาที่แยกออกจากกรีกแต่มีส่วนคล้ายใกล้เคียงกัน
และยังมีการใช้ภาษาโรมันและลาตินด้วยแม้ในอดีตและปัจจุบันนี้ด้วย เช่น คำของ
วิทยาศาสตร์และตัวเลขนาฬิกา และภาษาที่ใช้ในคนิตศาสตร์ อื่นๆ
1.5 ภาษาอังกฤษที่เป็นภาษาสากลของทั่วโลกที่พระเจ้าทรงใช้ในปัจจุบันนี้
เช่นการแปลเป็นภาษาอื่นๆ และการที่ประเทศนั้นไม่มีภาษาเขียนหรือเผ่าอื่นๆก็ใช้
ภาษาอังกฤษเป็นตัวเขียนแทน เช่น อาข่า,ม้ง,ฟิลิปปินส์,ลาฮู่,อื่นๆ
สรุป.......... พระเจ้าทรงใช้ภาษาเพื่อให้มนุษย์เข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าและความรอด
......... ภาษาและคำที่ใช้มาจากพระเจ้าแม้มนุษย์เป็นคนเขียนโดยพระวิญญาณ 2ปต.1.20-21
........ ภาษาสมัยของพระคัมภีร์เน้นที่ความหมายสื่อความเข้าใจ กจ.2.1-13 1คร.14.10
....... พระพร, คำถามท้ายบทเรียน , การประยุกต์ใช้,
คำถามท้ายบทเรียน
1. พระคัมภีร์มีอิทธิพลต่อชีวิตคุณอย่างไร
2. ครั้งแรกที่คุณเห็นพระคัมภีร์คุณคิดและเข้าใจอย่างไร
3.เมื่อคุณได้อ่านและได้ยินพระคัมภีร์ครั้งแรกคุณรู้สึกอย่างไร
4. ตอนนี้ต้นฉบับอยู่ที่ไหน
5. ทำไมต้นฉบับหายไป
6. ถ้าเราพบต้นฉบับเราจะรู้ได้อย่างไร
7. เมื่อพบต้นฉบับจะมีผลดีหรือผลเสีย
8. พระคัมภีร์มีความผิดพลาดหรือไม่
9. ถ้าเราไม่มีพระคัมภีร์จะเกิดอะไรขึ้น
10. ตอนนี้มารพยายามทำลายพระคัมภีร์อย่างไร
11. เรามีส่วนที่จะดูแลรักษาพระคัมภีร์อย่างไร
- เป็นผู้อารักขาที่ดี 1คร.4.1-4
- มอบคำสอนกับคนที่สัตย์ซื่อ 2ทธ2.2
- อย่าตัดอย่าเพิ่มเติมพระคัมภีร์ วว.22.18-19 - เราต้องอ่าน,จดจำ,ศึกษาเพราอาจถูกทำลายจากมาร,
วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
เกี่ยวกับฉัน
- คริสเตียนไทยรับใช้พระเจ้า
- พวกเราเป็นกลุ่มคริสตจักรท่มีความเชื่อตามหลักของพระคัมภีร์อย่างเคร่งครัด เราเชื่อว่า เรารอดโดยพระคุณพระเจ้า และเชื่อในตรีเอกานุภาพ และพระคัมภีร์66เล่มเป็นการดลใจจากพระเจ้าและไม่มีความผิดพลาดของต้นฉบับ และพระวจนะของพระเจ้าเป็นแหล่งชีวิตและความจริง เป็นหนังสือท่ช่วยในการดำเนินชีวิตประจำวัน เราเชื่อว่าเมื่อเราเชื่อในพระองค์เราได้รับองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ในทันใดนั้น เพราะทรงประทับตราเรา ( เอเฟซัส 1:13-14)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น